วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2567

ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งปลดนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยนครพนม

ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งปลดนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยนครพนม

          กรณีคดีทางปกครอง คดีหมายเลขดำ ที่ บ.๑๖๔/๒๕๖๓ และหมายเลขแดงที่ บ.๑๘๑/๒๕๖๓ ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาเมื่อ วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๗ พิพากษาว่า การที่รัฐมนตรี อว. ออกคำสั่งกระทรวง อว. ที่ ๑๐๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ สั่งให้ปลดนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยนครพนมในขณะนั้นให้พ้นจากตำแหน่ง โดยศาลเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการออกคำสั่งดังกล่าว จึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวโดยให้มีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ออกคำสั่งดังกล่าว (๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓)
          ต่อกรณีดังกล่าว ศาสตราจารย์ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตนายกสภามหาวิทยาลัยนครพนมที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยก่อนนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยชุดที่ถูกปลด และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้ทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนที่เกิดเหตุแล้ว และตอนนั้นก็ได้แจ้งแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องไปว่า "การออกคำสั่งเช่นนี้ผิดและไม่สามารถทำได้" เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีให้สามารถปลดสภามหาวิทยาลัยหรือแต่งตั้งบุคคลเข้าไปปฏิบัติหน้าที่สภามหาวิทยาลัยได้ หากรัฐมนตรีไปออกคำสั่งเช่นนั้นรัฐมนตรีก็จะทำผิดกฎหมายทันที แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ทำให้มีคำสั่งดังกล่าวออกมา ซึ่งก็ได้สร้างความยุ่งยากให้เกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่เกิดขึ้นมาแล้วจากผลของคำสั่งนี้ และที่คิดว่าต้องเกิดต่อไปอีกจากผลของคำพิพากษา แต่ที่สำคัญคือคำพิพากษาเป็นการชี้ชัดว่ามีผู้กระทำผิดกฎหมายนับตั้งแต่รัฐมนตรีผู้ออกคำสั่งและผู้ที่เกี่ยวข้องอีกหลายราย ซึ่งเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายอาญา อาจมีผลถึงต้องโทษจำคุก เพราะพร้อมๆ กับการร้องไปที่ศาลปกครองนั้น ได้มีการร้องไปที่ ปปช. ด้วย และทราบว่าขณะนี้ ปปช. กำลังดำเนินการโดยจะเอาคำพิพากษาไปประกอบการพิจารณาด้วย หาก ปปช. เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก็คงจะลงเอยด้วยการฟ้องคดีอาญา
         เรื่องดังกล่าวมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย (๑) เริ่มจากนายกสภามหาวิทยาลัยในขณะนั้น ซึ่งมีความขัดแย้งกับกรรมการสภามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่และฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย ได้ทำหนังสือถึง อว. ให้ใช้อำนาจรัฐมนตรีในการปลดตนเองและกรรมการสภามหาวิทยาลัยของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่แปลกประหลาดไม่เคยมีเกิดขึ้น ณ ที่ใดมาก่อน (๒) เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ อว. ที่ทำหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์คำร้องของนายกสภาฯ โดยเจ้าหน้าที่ที่ควรจะเป็นผู้รู้กฎหมายดีกลับเสนอเห็นชอบให้รัฐมนตรีดำเนินการใช้อำนาจที่ผิดกฎหมาย  (๓) คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ที่ประชุมพิจารณาแล้วให้ความเห็นชอบตามที่นายกสภาฯ เสนอ และเสนอต่อให้รัฐฒนตรีออกคำสั่งดังกล่าว และ (๔) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ อว. เช่นปลัดกระทรวง ที่เป็นผู้เสนอขั้นสุดท้ายให้ (๕) รมต. ใช้อำนาจออกคำสั่ง ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า บุคคลเหล่านี้ต่างเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่หากอ่านกฎหมายเพียงใช้สามัญสำนึกก็จะทราบได้ทันทีว่า กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีในการปลดสภามหาวิทยาลัยและแต่งตั้งคณะบุคคลเข้าไปทำหน้าที่แทน หากรัฐมนตรีไปออกคำสั่งเช่นนั้น ก็จะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบตามกฎหมาย จะเข้าข่ายผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157

          ทั้งนี้ ในคำสั่งดังกล่าวของรัฐมนตรีได้มีการอ้างการใช้อำนาจตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติอุดมศึกษา ซึ่งในข้อเท็จจริง มาตราดังกล่าวไม่ได้ให้อำนาจนั้นไว้แต่อย่างใด ความตามมาตรานี้ระบุว่า หากปรากฏว่ามีมหาวิทยาลัยไปดำเนินการที่ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรง รัฐมนตรีจะมีอำนาจเพียงแจ้งให้สภาสถาบันแก้ไขเสีย หรือหากแจ้งแล้วยังไม่มีการแก้ไขก็ให้มีอำนาจเพียงสั่งให้หยุดการกระทำนั้นๆ  และหากสั่งแล้วยังไม่หยุดรัฐมนตรีก็จะมีหน้าที่เพียงดำเนินคดีอาญากับสถาบันอุดมศึกษานั้นๆ ดังนั้น การที่รัฐมนตรีออกคำสั่งปลดสภามหาวิทยาลัย จึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซ้ำร้ายในการปลดนั้นยังมีคำสั่งแต่งตั้งให้มีคณะบุคคลเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แทนสภามหาวิทยาลัยอีกด้วย ซึ่งในส่วนนี้รัฐมนตรีก็ไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งเช่นกัน

         ความยุ่งยากที่เกิดติดตามมาก็คือ ปลดสภาออกไปแล้ว ซึ่งปลดโดยผิดกฎหมาย และยังตั้ง คณะบุคคลเข้าไปทำหน้าที่สภาอีกด้วย ซึ่งก็ตั้งโดยผิดกฎหมาย แต่คณะบุคคลนั้น ก็ได้เข้าไปทำหน้าที่ต่างๆ มากมายตามอำนาจหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย เช่น ไปแต่งตั้งบุคคล ไปอนุมัติปริญญาการสำเร็จการศึกษา ประเด็นก็คือเมื่อคณะบุคคลนี้มาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และมาถึงชั้นนี้ศาลปกครองก็พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งนั้นแล้ว ก็หมายความว่าสิ่งที่คณะบุคคลได้ดำเนินการไปก็ผิดกฎหมายทั้งหมด และที่สำคัญคือคณะบุคคลได้ไปดำเนินการสรรหานายกสภาและกรรมการสภามหาวิทยาลัยชุดใหม่ด้วย และได้ดำเนินการจนได้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งไปเรียบร้อยแล้ว แต่โดยนัยยะของกฎหมายคือ สภามหาวิทยาลัยที่ได้รับการสรรหามาใหม่นี้ ก็ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก็กลายเป็นความยุ่งยากที่คงต้องสางกันต่อไป

       ตามคำพิพากษา เมื่อได้เพิกถอนคำสั่งของ รมต. โดยให้มีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ออกคำสั่ง ก็ย่อมหมายความว่า คำสั่งนี้ไม่เคยมีตัวตน สภามหาวิทยาลัยชุดเดิมที่ตกเป็นเหยื่อของคำสั่งนี้ก็ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะกลับเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ต่อไป  อาจมีข้อโต้แย้งว่า เมื่อวาระการดำรตำแหน่งของกรรมการสภามหาวิทยาลัยมีเพียงสี่ปี ดังนั้นเมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงขณะนี้แล้วจะถือได้หรือไม่ว่ากรรมการสภาชุดนั้นหมดวาระไปแล้ว เรื่องก็อาจลงเอยได้โดยไม่ยุ่งยากนัก  แต่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นว่าการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการสภามหาวิทยาลัยนั้นเป็นการกำหนดเวลาการปฏิบัติหน้าที่เป็นจำนวนปี มิใช่การกำหนดเวลาตามปฏิทินแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อกรรมการสภามหาวิทยาลัยได้ปฏิบัติหน้าที่มาระยะเวลาหนึ่ง แต่ต้องมาต้องคำสั่งอันมิชอบด้วยกฎหมายทำให้ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ไป เวลาในช่วงที่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้นย่อมนำมานับเป็นเวลาในการดำรงตำแหน่งไม่ได้ โดยเฉพาะหากการต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นไปโดยมิชอบตามกฎหมาย ซึ่งหมายความว่าคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยชุดเดิมจะต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ต่อและนับเวลาต่อมาจนกว่าจะหมดวาระตามกฎหทาย

        คราวนี้ ก็จะกลายเป็นว่า มหาวิทยาลัยนครพนมมีสภามหาวิทยาลัยสองชุด  คือชุดเดิมที่ถูกปลดโดยมิชอบตามกฎหมายที่ยังคงมีเวลาในการดำรงตำแหน่งเหลืออยู่ และชุดใหม่ที่เพิ่งได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง แต่มีที่มาอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถ้าอย่างนี้ จะทำอย่างไรต่อไป เป็นเงื่อนที่ อว. ได้อุตริผูกไว้เองคงจะต้องหาทางแก้ แต่จะแก้อย่างไรก็ตาม คราวนี้ก็ทำให้ถูกกฎหมายก็แล้วกัน ไม่ใช่แก้ๆ แล้วยิ่งสร้างเงื่อนใหม่ผิดกฎหมายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก

        เรื่องนี้อาจจะไม่ลงเอยง่ายๆ คือจบเพียงที่คำพิพากษาของศาลปกครองเท่านั้น เพราะขณะที่มีการร้องเรื่องนี้ต่อศาลปกครองนั้น ได้มีการร้องไปที่ ปปช. ด้วย ซึ่งทราบว่าขณะนี้ ปปช. อยู่ในขั้นตอนที่มีการดำเนินการคดีนี้อยู่พอดี โดยได้มีการขอคำฟ้องศาลปกครองจากผู้ร้องไปเพื่อประกอบการพิจารณา  แต่คราวนี้เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ปปช. ก็คงจะได้ประเด็นที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น การพิจารณาในส่วนที่เหลือนี้คงเป็นไปได้โดยไม่ยาก และโดยเร็ว  ก็คงเป็นที่พอคาดการณ์ได้ว่า คำร้องที่ไปสู่ ปปช. นั้น เป็นการร้องการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบซึ่งเป็นความผิดอาญาตามมาตรา 157  เมื่อคำพิพากษาออกมาเช่นนี้แล้ว จะมีหรือที่ ปปช. จะเห็นเป็นอย่างอื่นๆ ซึ่งความผิดอย่างนี้เองที่เกิดขึ้นค่อนข้างจะเป็นกรณีคลาสสิคในบ้านเรา โดยมีผู้ที่ถูกพิพากษาให้จำคุกมาแล้วจากการโยกย้าย แต่งตั้งหรือปลด โดยใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งมีผู้ถูกจำคุกไปตั้งแต่ระดับหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี

        ก็อยู่ที่ว่า อว. ชุดปัจจุบัน ตั้งแต่รัฐมนตรีผู้ใช้อำนาจเอง ลงมาถึงปลัดกระทรวง คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการสางปัญหาที่พวกตนสร้างขึ้นมานี้อย่างไร เพราะโดยตัวบุคคลก็เป็นคนใหม่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้มาแต่เดิมทั้งสิ้น นอกจากระดับเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นตอของปัญหา  เจ้าหน้าที่ที่เป็นต้นตอนี้ ก็อาจใช้ยุทธวิธีซื้อเวลา โดยก็คงจะแนะนำเจ้านายให้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด แล้วคิดว่าเวลาจะทำให้ตัวเองจะรอดพ้นไปได้ แต่อย่าลืมว่า กรณีนี้เป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยผิดกฎหมายที่รัฐมนตรีคนที่ผ่านมาเป็นผู้กระทำ  ดังนั้น หากรัฐมนตรีปัจจุบันเห็นชอบให้ยื่นอุทธรณ์ ก็ย่อมจะแสดงความหมายว่ารัฐมนตรีคนนี้เห็นด้วยกับการกระทำผิดกฎหมายของรัฐมนตรีคนที่ออกคำสั่ง ประเด็นนี้หากเข้าสู่การพิจารณาของ ปปช. ก็จะกลายเป็นบุคคลทั้งหลายในชุดปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี ปลัด หรือ กกอ. ต่างเห็นด้วยกับการทำผิดกฎหมายนี้กันทั้งหมด เช่นนั้น ก็คงจะเข้าข่าย 157 กันทั้งหมดกระมัง ดังนั้น ระวังท่านทั้งหลายนั้นจะถูกเจ้าหน้าที่หลอกให้ยื่นอุทธรณ์

“เมื่อตอนที่ออกคำสั่งนี้นั้น ผมได้ส่งข้อความไปแนะนำบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะบุคคลที่จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่สภามหาวิทยาลัย โดยผมชี้ประเด็นให้เห็นว่า เรื่องนี้ผิดกฎหมาย รัฐมนตรีใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบตามกฎหมาย แต่น่าจะยังแก้ไขทัน จึงอยากแนะนำว่าให้ท่านเดินเข้าไปชี้แจงท่านรัฐมนตรีเสียว่าผิดกฎหมายอย่างไร และให้รัฐมนตรียกเลิกคำสั่ง ซึ่งคิดว่ายังน่าแก้ไขสถานการณ์ได้”  แต่ข้อความที่ผมส่งไปไม่ได้รับคำตอบใดๆ และเรื่องก็ได้ดำเนินมาจนกลายเป็นความยุ่งยากที่คงแก้ไขได้ไม่ง่ายนัก

         เรื่องนี้แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง คือ อว. ได้ออกมาตรการและได้เรียกร้องเสมอเพื่อให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ดำเนินการโดยยึดหลักธรรมภิบาล แต่กรณีที่เกิดขึ้นนี้ ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า จุดหนึ่งและเป็นจุดที่สำคัญมากที่มีความล้มเหลวของธรรมาภิบาลคือ ณ ที่ศูนย์กลางอำนาจ ได้แก่ในกระทรวง อว. เอง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

CP LAND จาก ‘แบรนด์ผู้ท้าชิง’ ก้าวสู่ ‘แบรนด์เจ้าตลาด’ ติด Top 10 Brand Powerful Score

CP LAND จาก ‘แบรนด์ผู้ท้าชิง’ ก้าวสู่ ‘แบรนด์เจ้าตลาด’  ติด Top 10 Brand Powerful Score       บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND ...