วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2564

เนเจอร์ไบโอเทค ส่งต่อความห่วงใยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสระบุรี ตอกย้ำมาตรฐานระดับสากลของ G2X

เนเจอร์ไบโอเทค ส่งต่อความห่วงใยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสระบุรี ตอกย้ำมาตรฐานระดับสากลของ G2X

          คุณชูพงษ์ เลาหะพรสวรรค์ CEO บ.เนเจอร์ไบโอเทค พร้อมด้วย นพ.ดำรงค์ เลาหะพรสวรรค์ กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ส่งมอบผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ G2X มูลค่า 4.2 ล้านบาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้เสียสละปฏิบัติหน้าที่ชนิดแทบไม่มีเวลาพักผ่อนในช่วงของการต่อสู้กับวิกฤตโควิด 19 โดยมี นพ.อนันต์ กมลเนตร ผอ.โรงพยาบาลสระบุรีและคณะเป็นผู้รับมอบ

          ทั้งนี้ บริษัทเนเจอร์ไบโอเทค จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ G2X โสมเกาหลีสกัดผสมเห็ดหลินจือแดงสกัด และผลิตภัณฑ์หลินจือมินที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 10 ปี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากประเทศเกาหลี ภายใต้มาตรฐานระดับสากล อาทิ GMP ,HACCP และได้รับรางวัลด้านผลิตภัณฑ์ ASIA BEST AWARD 2019

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2564

คณะกรรมาธิการแรงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ติดตามความคืบหน้าคดีแรงงาน ที่ สภ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

คณะกรรมาธิการแรงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ติดตามความคืบหน้าคดีแรงงาน ที่ สภ.บางพลี จ.สมุทรปราการ


        วันนี้ (28 มกราคม 2564) เวลา 10.00 น. นายสุวรรณ บัวโรย เลขาธิการคณะกรรมาธิการแรงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยสื่อมวลชนได้เดินทางมาที่สภ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีจับแรงงานต่างชาติที่เข้ามาขับมอเตอร์ไซด์พ่วงขายไอศครีมยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ชึ่งอาชีพการเร่ขายสินค้าสินค้าเป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทยเท่านั้น คนต่างด้าวห้ามทำเด็ดขาด โดยวันนี้มีหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ สำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ กอ.รมน. สมุทรปราการ และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง มาร่วมตรวจสอบคดีนี้ด้วย

    สำหรับคดีนี้มีการบันทึกให้ปากคำ โดยมี ร.ต.อ.สุรกิจ เทียนทอง เป็นผู้กล่าวหานายมาโนช ชาฮี หรือ MR.MANOJ SHAHI กับพวก เป็นผู้ต้องหา ต่อหน้า ร.ต.อ.วัฒนกิต ยอดอาจ รองสว.สอบสวน สภ.บางพลี ว่า นายสุวรรณ บัวโรย เลขาธิการกรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบในฐานะพยานในคดีอาญานี้ เนื่องจากเป็นผู้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับคดีนี้ว่า ก่อนเกิดเหตุในขณะทึ่ข้าพเจ้าปฎิบัติหน้าที่ในฐานะเลขากรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร  ได้รับเรื่องร้องเรียนจากคณะกรรมาธิการแรงงานฯ เกี่ยวกับเรื่องแรงานชาวต่างชาติทำผิดกฎหมายในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 เวลาประมาณ 18.00 น. ข้าพเจ้า พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชน ได้เดินทางลงพื้นที่ตามข้อมูล (ลับ) ที่ได้รับแจ้งมา โดยได้ไปตรวจสอบที่บริเวณหมู่บ้านพรสว่างนิเวศน์ หมู่ 3 ถนนเทพารักษ์ ตำบลบางพลีหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทปราการ เมื่อถึงที่เกิดเหตุภายในหมู่บ้านพรสว่างนิวเวศน์ หน้าบ้านเลขที่ 13/38 พบชาวต่างชาติ สัญชาติอินเดีย ตามข้อมูลเบาะแสที่ได้รับแจ้งมาว่า ได้ขับขี่รถกจักรยานยนต์พ่วงขายไอศครีมยี่ห้อดัง กำลังกลับเข้ามายังบ้านพักที่เกิดเหตุ จึงได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พ.ต.ต.ชนสิทธิ์ เด็ดดวง สวป. สภ.บางพลี ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบพบชาวต่างชาติ สัญชาติอินเดีย จำนวน 5 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจเอกสารหนังสือเดินทางและเอกสารอื่นๆ ระหว่างที่ตรวจสอบพบชาวต่างชาติชาวอินเดียขับขี่รถจักรยานยนต์พ่วงขายไอศครีมมายังบ้านที่เกิดเหตุอีกจำนวน 2 คน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขอตรวจสอบเอกสารของคนต่างด้าว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจเอกสารเบื้องต้นของชาวต่างชาติ สัญชาติอินเดีย ทั้ง 7 คน ปรากฎว่าทั้งหมดไม่มีหนังสือเดินทางพกติดตัวในขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจค้น จึงได้แจ้งให้ร้อยเวรป้องกันปราบปรามและเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.บางพลี โดยมี พ.ต.ท.อริเมศร์ไชยศรัญวิชญ์ รอง ผกก.ป.สภ.บางพลี กับพวกนำกำลังมาที่เกิดเหตุ และได้ร่วมตรวจสอบด้วย ระหว่างตรวจสอบและได้สอบถามผู้ต้องหาทั้ง 7 คนว่า โดยผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ยอมรับว่ามาขับรถมอเตอร์ไซด์พ่วงขายไอศครีมจริง และสอบถามเกี่ยวกับเอกสารเป็นตั๋วคูปองที่พบในตัวผู้ต้องหาแต่ละคน ตั๋วดังกล่าวมีลักษณะเป็นกระดาษสีเขียว, แดง, เหลือง จำนวนมากกว่า 10 ใบ มีรูปต่างๆ (รูปเสือ รูปหมี รูปดวงอาทิตย์ รูปสัม ติดบนกระดาษพร้อมเขียนวันเดือนปีเอาไว้) และได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน ตั๋วดังกล่าว พ.ต.ท.อริเมศร์ ไชยศรัญวิชญ์ รอง ผกก.ป.สภ.บางพลีได้สอบถามแรงงายชาวต่างชาติเกี่ยวกับคูปองดังกล่าว ผู้ต้องหาตอบว่าพกไว้เพื่อแสดงกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ หากนำตั๋วคูปองดังกล่าวมาแสดงแล้ว ทางเจ้าหน้าทีจะไม่จับกุม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำผู้ต้องหาทั้ง 7 คน พร้อมทั้งยึดเงินทีอยู่ในถุงพร้อมบัญชีไปที่ สภ.บางพลี และบันทึกจับกุมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี 

               นายสุวรรณ บัวโรย เลขาธิการกรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาลผู้แทนราษฎร ยังได้แจ้งความประสงค์จะให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ดังนี้คือ

      1. ให้ตรวจสอบว่าผู้ต้องหาทั้ง 7 คน มีหนังสือเดินทาง และได้รับอนุญาตเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยในสถานะใด และพักอาศัยอยู่กับผู้ใดในสถานะใด มีผู้ใดเป็นผู้ให้ที่พักพิงและเป็นนายจ้าง หากตรวจสอบพบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมประสานรงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และรายงานผลให้กับข้าพเจ้าในฐานะเลขาธิการกรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบด้วย

       2. ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมตรวจสอบบ้านที่เกิดเหตุว่าเป็นของผู้ใด และให้ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการของเจ้าบ้านที่เกิดเหตุว่ามีการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หากตรวจสอบว่ามีการรับคนต่างด้าวเข้ามาประกอบอาชีพและให้ที่พักพิง ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และรายงานผลให้กับข้าพเจ้าในฐานะเลขาธิการกรรมาธิการฯ ทราบ

    และให้ พ.ต.ท.อริเมศร์ ไชยศรัญวิชญ์ รอง ผกก.ป.สภ.บางพลี ที่ตรวจพบพยานหลักฐานดังกล่าว หากพบว่ามีการกระทำความผิดให้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับนายมาโนช ซาฮี  ในความผิดที่ตรวจสอบพบการกระทำความผิด 

     ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ถึง 7 หากพบมีการการกระทำความผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามที่ข้าพเจ้ากล่าวมาข้างต้น ก็ให้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 2 ถึง 7 และรายงานผลการดำเนินการส่งไปยังสำนักงานเลขาธิการกรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถนนสามแสน แขวง/เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300

       พ.ต.อ. วิโรจน์ ตัดโส ผกก.สภ.บางพลั กล่าวว่า หลังจากพนักงานสอบสอน และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้มาทำการตรวจหนังสือเดินทางพบว่า มีชาวต่างชาติที่ถูกจับมามี 2 คนที่ถูกจับปรับในกรณีไม่พกหนังสือเดินทาง เพราะ 1คนมีเมียเป็นคนไทยและะมีบุตรด้วย ส่วนอีก 1 คน วืซ่ายังไม่หมดอายุ ส่วนอีก 5 คนนั้น Over STay วีซ่าหมดอายุ ก็ต้องทำบันทึกจับกุมใหม่ ส่หนึ่ง ชึ่งอาชีพการเร่ขายสินค้าเป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทยเท่านั้น คนต่างด้าวห้ามทำเด็ดขาดนั้น พนักงานสอบสวนก็จะเรียกเจ้าของบ้านมาสอบสวนว่าชาวต่างชาติทั้ง 7 คนมาทำอาชีพอะไรกันแน่ จีงจะสามารถตั้งข้อหาได้ แต่ถ้าไม่มีอะไรเจ้าของบ้านอาจต้องโดนข้อหาให้ที่พักพิงคนต่างชาติวนเรื่องของการทำอาชีพขายสินค้าของแรงงานต่างชาติที่เข้ามาขับมอเตอร์ไซด์พ่วงขายไอศครีมยี่ห้อดังยี่ห้อ

      นายสุวรรณ บัวโรย เลขาธิการกรรมาธิการฯ กล่าวว่าเรื่องคูปองตั๋วที่พบนั้น ก็ยังไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ว่าหน่วยงานไหนเป็นผู้ออกให้

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2564

คณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎรและตำรวจ สภ.บางพลีบุกจับแรงงานต่างชาติชาวอินเดีย พบตั๋วคุ้มครองหลายหน่วยงาน

คณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎรและตำรวจ สภ.บางพลีบุกจับแรงงานต่างชาติชาวอินเดีย  พบตั๋วคุ้มครองหลายหน่วยงาน



     จากกรณีมีประชาชนร้องเรียนหลายช่องทางไปที่กรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ว่ามีแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานที่จังหวัดสมุทรปราการ และมีตั๋วเอกสิทธิ์คุ้มครองของหลายหน่วยงานเพื่อใช้แสดงป้องกันการถูกจับกุม 



      นายสุวรรณ บัวโรย เลขานุการคณะกรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยสื่อมวลชน จึงได้ลงพื้นที่ในซอยพรสว่าง ซึ่งเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ได้รับแจ้ง เพื่อตรวจสอบ เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 27 มกราคม 2564 ปรากฎว่าได้พบแรงงานต่างชาติจริงที่บ้านเช่า เลขที่ 121/38 หมู่ 3 ภายในซอยพรสว่าง ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ  โดยแรงงานต่างชาติได้มารวมตัวกันหลังจากที่ได้ขับมอเตอร์ไซด์พ่วงขายไอศครีมยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง จึงได้แจ้งไปยัง สภ.บางพลี สมุทรปราการ และได้ประสานงานกับ พ.ต.ต.ชนสิทธิ์ เด็ดดวง สวป.สภ.บางพลี เพื่อมาทำการจับกุม และเข้าตรวจค้นที่บ้านเช่าหลังดังกล่่าว โดยมี พ.ต.ท.อธิเทศร์ ไชยศรัญวิชญ์ รอง ผกก.ป.สภ.บางพลี ลงพื้นที่ด้วยตนเอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกันทำการเข้าตรวจค้น จากการตรวจสอบได้พบแรงงานชาวต่างชาติ สัญชาติอินเดีย จำนวน 5 คน นั่งเคลียเรื่องเงินที่ได้จากการขายไอศครีมโดยไม่มีการสวมกน้ากากอนามัย สักพักก็มีแรงงานต่างชาติขับรถมอเตอร์ไซด์ดลีบมาเพิ่มอีก 2 คน รวมเป็น 7 คน  ได้จากการสอบถามพบว่าทั้งหมดไม่มีหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ติดตัว และอ้างว่าพาสปอร์ตอยู่ที่บ้าน โดยทั้งหมดได้เข้ามาขับมอเตอร์ไซด์พ่วงขายไอศครีมยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ชึ่งการเร่ขายสินค้าสินค้าเป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทยเท่านั้น คนต่างด้าวห้ามทำเด็ดขาด  และที่ขับมอเตอร์ไซด์ไปเร่ขายไอศครีมทั้งวัน อาจเป็นการแพร่ระบาดของโรคไวรีสโควิด-19 และจากการตรวจค้นพบแรงงานต่างชาติครั้งนี้ ยังพบว่าทุกคนมีตั๋วอภิสิทธิ์คุ้มครองหลากหลายสีของหลายหน่วยงานต่างๆ โดยบอกว่าเป็นตั๋วซึ่งมีเจ้าหน้าที่บางหน่วยงานให้ไว้ เพื่อนำออกมาแสดงไม่ให้ถูกจับกุม เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดเอาไว้ตรวจสอบ จากนั้นก็คุมตัแรงงานต่างชาติวทั้งหมดมาทำการสอบสวนที่ สภ บางพลี ก่อนควบคุมตัวทั้งหมดมาทำการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และหลักจากที่จ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนแล้ว แจ้งว่า "ตั้งข้อหาได้เพียงไม่พกพาสปอร์ตเท่านั้น" เพราะไม่ได้ทำการจับกุมซึ่งหน้าขณะขายไอศครีม



         นายสุวรรณ บัวโรย เลขานุการคณะกรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ว่าในจังหวัดสมุทรปราการมีแรงงานต่างชาติ สัญชาติอินเดีย ประมาณ 800 คน ซึ่งบางคนเข้าข่ายทำงานผิดประเภทคือมาในลักษณ์พาสปอร์ตท่องเที่ยวแต่มาทำงานคือไม่มีเวิร์คเพอร์มิท และพาสปอร์ตหลายๆ คนก็ขาดอายุด้วย ซึ่งเราได้ทราบข้อมูลแล้ว และแรงงานประมาณ 800 คนชาวอินเดีย ที่อยู่ในหวัดสมุทรปราการ และยังได้ทราบข้อมูลอีกว่าว่ามันมีการแจกเป็นตั๋วหรือเป็นคูปองมีอยู่ประมาณ 10 – 20 หน่วยงาน ซึ่งข้อมูลที่ได้มาเขาบอกว่าหน่วยงานต่างๆ มีทั้งหน่วยงานราชการบางหน่วยงาน จึงเข้ามาประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางพลี ร่วมกันตรวจสอบก็พบแรงงานต่างชาติดังกล่าวซึ่งเป็นชาวอินเดียซึ่งมาประกอบอาชีพขายไอศครีม ยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่งในเขตจังหวัดสมุทรปราการ โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอบางพลี  บางคนอยู่เมืองไทยนานแล้วพาสปอร์ตขาดก็ไม่ได้มีเวิร์คเพอร์มิทในการทำงาน 



       ส่วนในเรื่องตั๋วที่พบ ได้พบว่าเป็นตั๋วของหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงานหลากสี ซึ่งอันนี้เราก็ไม่รู้ว่าหน่วยงานไหนบ้าง ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบและจับกุมแรงงานทั้ง 7 คนเราก็พบตั๋วแบบนี้ทุกคน และจากการสอบถามแรงงานทั้งหมดได้บอกว่านายจ้างเอามาให้พกไว้เวลาเจ้าหน้าที่มาตรวจก็ให้แสดงตั๋วอันนี้ให้ดู เจ้าหน้าที่ก็จะไม่จับ ซึ่งในเรื่องนี้ก็ได้ให้พนักสอบสวน ทำการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดเพื่อขยายผลไปที่นายจ้าง ในส่วนของกรรมาธิการ สำนักเลขาธิการสภาผูุ้แทนราษฎร ก็จะมีประชาชนส่งข้อมูลมาให้หลายช่องทาง ทั้งทางไปรษณีย์และทางอีเลคทรอนิคส์บ้าง ทางไลน์ทางเฟสบุ๊ก เพราะเขาทราบว่าเราอยู่ในส่วนของกรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ก็เลยส่งข้อมูลอันนี้มาให้ ซึ่งหลังจากที่เราทราบข้อมูลแล้วเราก็ลงมาดูว่ามีจริงหรือไม่ จึงประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางพลี และสื่อมวลชนมาร่วมตรวจสอบ และมาแล้วก็พบว่าเป็นเรื่องจริง หลังจากที่ได้ข้อมูลแล้วก็จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รายงานให้ท่านประธานกรรมาธิการแรงงาน สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป

พิธีสวดพระอภิธรรมศพ พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ ณ ศาลาทักษิณาประดิษฐ์ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน

พิธีสวดพระอภิธรรมศพ พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ ณ ศาลาทักษิณาประดิษฐ์ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน


       “ครอบครัวควรเดชะคุปต์” และ พล.ต.อ.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร . จัดพิธีสวดพระอภิธรรมศพ พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ (ม.ป.ช.,ม.ว.ม.,ต.จ.ว.) อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, อดีตสมาชิกวุฒิสภา, ที่ปรึกษาประธานวุฒิสภา โดยได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ให้เกียรติเดินทางเป็นประธานพิธี



โดยในวันนี้ ีสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพฯ โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร., พล.ต.อ. ปัญญา มาเม่น อดีตรอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.พิสิฏฐ์ พิสุทธิศักดิ์ อดีตผู้ช่วย ผบ. ตร., นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์, นายอนันต์ นิลมานนท์ นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย(สภท.56ปี), นายธีระยุทธ ผู้พัฒน์ สื่อมวลชนอาวุโส, ข้าราชการทหาร-ตำรวจ นักธุรกิจและแขกผู้มีเกียรติร่วมพิธี ณ ศาลาทักษิณาประดิษฐ์ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน กรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564 เวลา 18.00 น. 



สมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย(สภท.56 ปี)

หนังสือพิมพ์ประชาไทออนไลน์

ธวัชชัยเฟื่องอนันต์รายงาน

T.Newsman007Online



















มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลัง ลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU] ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อยกระดับการบูรณาการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระดับประเทศ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  ผนึกกำลัง ลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU] ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อยกระดับการบูรณาการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระดับประเทศ 




         มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  ลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU]  ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลังทั้งทางด้านวิชาการ และการปฏิบัติการ อันเป็นการบูรณาการการจัดการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ ขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และ/หรืออาสาสมัครมูลนิธิฯ และเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยให้สามารถบริหารจัดการและปฏิบัติตอบโต้เหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีคณะผู้กรรมการและผู้บริหารของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ เมื่อวันพุธที่ 27 มกราคม 2564 




           นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางของรัฐในการบูรณาการบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศ ได้มุ่งส่งเสริมการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้ครอบคลุมทุกประเภทภัย ทุกระดับ และทุกรูปแบบ เพื่อให้ทุกหน่วยงานเข้าใจบทบาทภารกิจ ภายใต้แผนและกฎหมายด้านการจัดการสาธารณภัย รวมถึงเสริมสร้างทักษะและความเชี่ยวชาญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถประสานปฏิบัติและบูรณาการจัดการในภาวะฉุกเฉินได้อย่างมีเอกภาพและประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพด้านการจัดการสาธารณภัยและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยของภาครัฐ และนำไปสู่การสร้างประเทศไทยให้เป็นเมืองปลอดภัยอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เพื่อการเสริมสร้างศักยภาพ ขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และ/หรืออาสาสมัครมูลนิธิฯ และเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยให้สามารถบริหารจัดการและปฏิบัติตอบโต้เหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจึงได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขึ้น





          ด้านนายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือกันในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณท่านอธิบดี และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ที่ให้โอกาสและให้เกียรติมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งเป็นองค์กรเอกชน ได้เป็นอีกหนึ่งพลัง ร่วมกับส่วนราชการในงานด้านบรรเทาสาธารณภัย ช่วยชีวิตและรักษาชีวิตประชาชนที่ประสบภัย ความร่วมมือนี้จะเป็นการเพิ่มความสามารถในการจัดการกับภัยต่างๆ ของชาติได้อย่างรวดเร็ว เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ 



           ที่ผ่านมา  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้มีการประสานความร่วมมือกันทั้งด้านการปฏิบัติการและการพัฒนาด้านศักยภาพเป็นอย่างดีเรื่อยมา ด้วยสาธารณภัยในปัจจุบันมีความรุนแรงและสร้างความเสียหายมากขึ้น   การลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU] ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความร่วมมือ และเพิ่มขีดความสามารถ และเชื่อมโยงเครือข่ายอย่างเป็นระบบ  เพื่อให้ภารกิจด้านการจัดการสาธารณภัยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม

ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต 

แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง 1418

 ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน










สวนหลวง-สามย่าน จัดงาน "เฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่ทับทิม" อย่างยิ่งใหญ่ ณ ศาลเจ้าแม่ทับทิม อุทยาน 100 ปี จุฬาฯ

สวนหลวง-สามย่าน จัดงาน "เฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่ทับทิม" อย่างยิ่งใหญ่  ณ ศาลเจ้าแม่ทับทิม อุทยาน 100 ปี จุฬาฯ ชมการแสดงงิ้ว...