วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

BDMS จัดอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ "อิ่ม by BDMS"

BDMS จัดอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ "อิ่ม by BDMS"

       อิ่มอร่อยสุขภาพดีด้วย "อิ่ม by BDMS" ผู้ช่วยที่ทำให้มื้ออาหารของคุณเป็นเรื่องง่าย ตอบโจทย์สายรักสุขภาพด้วยเมนูหลากหลาย  BDMS (Bangkok Dusit Medical Services) เปิดตัวบริการด้านอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเฉพาะโรค และ อาหารเฉพาะบุคคล ภายใต้ชื่อแบรนด์ "อิ่ม by BDMS" ซึ่งเป็นอาหารที่ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบ เมนูอาหารและการปรุงอาหาร ที่อยู่ในการดูแลของนักโภชนาการ ทีมแพทย์ และเชฟ โดยออกแบบอาหารให้เหมาะสมเฉพาะกับแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย หรือ ผู้ที่รักสุขภาพ


       เนื่องด้วยในปัจจุบันความเร่งรีบในชีวิตประจำวันทำให้หลาย ๆ คนให้ความสำคัญ ในการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญอย่างมาก คือ เรื่องอาหารการกิน สำหรับคนที่อยากดูแลสุขภาพแต่คิดว่าการทำอาหารเพื่อสุขภาพเป็นเรื่องยุ่งยาก ใช้เวลานานและ ไม่มีเวลาพอที่จะทำ "อิ่ม by BDMS" อาหารสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ มีบริการผลิตและจัดส่งอาหารให้ถึงมือ โดยที่คุณไม่ต้องคอยกังวลที่จะต้องคำนวณสารอาหารต่าง ๆ ด้วยตัวเอง


"อิ่ม by BDMS"  มีให้บริการอาหาร 4 ประเภทด้วยกัน

1. อาหารเพื่อภาวะโรค (โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคมะเร็ง อาหารเพื่อเตรียมการกลืนแร่ และอาหารผู้สูงอายุ)

2. อาหารเพื่อสุขภาพ เหมาะสำหรับสายรักสุขภาพ หรือ ผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

3. อาหารทางสายยาง สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานทางปากได้ มีทั้งสูตร ผู้ป่วยเบาหวาน สูตรมาตรฐาน และสูตรเฉพาะบุคคล

4 อาหารเฉพาะบุคคล สำหรับการดูแลพิเศษ ด้วยการคำณวนสารอาหาร ตามสัดส่วนของแต่ละบุคคล ภายใต้การดูแล โดยทีมนักกำหนดอาหาร

        เพราะเราอยากให้ทุกคนได้ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ให้อิ่ม ร่วมสร้างความมั่นใจให้ทุกคนด้วยอาหารของคุณที่จะ “อิ่มสุขทุกคำ” มาเปลี่ยนมื้ออาหารเดิมๆ ให้เป็นมื้อพิเศษ อิ่ม อร่อย และดีต่อสุขภาพไปกับ "อิ่ม by BDMS"

        ผู้สนใจติดต่อสอบถามได้ทาง Facebook : อิ่ม by BDMS หรือ โทร. : 02-310-3280 Line : @immbybdms  

LINK : https://page.line.me/immbybdms



วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ททท. เสนอแผนตลาดฯ ปี 68 จุดพลัง Amazing Thailand Grand Tourism Year ด้วย “เสน่ห์ไทย-เมืองน่าเที่ยว”

ททท. เสนอแผนตลาดฯ ปี 68  จุดพลัง Amazing Thailand Grand Tourism Year ด้วย “เสน่ห์ไทย-เมืองน่าเที่ยว”

มุ่งพิชิตเป้าหมายรายได้เพิ่มร้อยละ 7.5 จากปี 67



          นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำเสนอทิศทางการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว ปี 2568 ย้ำเตรียมพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เดินหน้าพลิกฟื้นศักยภาพท่องเที่ยวไทยทั้งระบบด้วยการกระตุ้น Demand ยกระดับ Supply และมุ่งสู่ความยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือของพันธมิตรทุกภาคส่วน ชู “เสน่ห์ไทย” และ “เมืองน่าเที่ยว” เป็นจุดขายสำคัญ ดึงดูดตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้ง ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตร้อยละ 7.5 จากปี 2567 โอกาสนี้ได้รับเกียรติจากนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย นายจีรวัฒน์ ลีนะกนิษฐ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.เพ็ญพิสุทธ์ จินตโสภณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอารัญ บุญชัย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คณะกรรมการ ททท. นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. รวมถึงสมาคมท่องเที่ยวต่างๆ ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาทิ นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ว่าที่ ร.ต.เอนก นุรักษ์ และนางสมทรง สัจจาภิมุข รองประธาน สทท. นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) นางฉลอม สงล่า ประธานสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (TFOPTA) นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) นายสุเทพ อารมณ์รักษ์ รองนายก สธทท. นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) ตัวแทนสมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (สนท.) ตัวแทนสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) ตัวแทนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสื่อมวลชน เข้าร่วมงานฯ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่15 กรกฎาคม 2567




      นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็น 1 ใน 8 เสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยภายใต้นโยบาย IGNITE THAILAND’S TOURISM ซึ่งมุ่งหวังให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค (Tourism Hub) ให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องให้ความสำคัญกับ
1. การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและยั่งยืน (High Value and Sustainability)
2. ให้ความสำคัญกับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ ใช้จ่ายสูง มีระยะพำนักนาน และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
และ 3. การยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Shape Supply) ให้มีความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว และผลักดันเกณฑ์มาตรฐานความยั่งยืน ตลอดจนการส่งเสริมเมืองน่าเที่ยว เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมและทั่วถึง จึงจะนำไปสู่ปลายทางความสำเร็จของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่เติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุล





       ด้าน นางสาวฐาปนีย์  เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ปี 2568 นับเป็นปีแห่งความท้าทายของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ที่จะก้าวไปสู่ Amazing Thailand Grand Tourism Year อย่างยิ่งใหญ่ สอดรับนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ของรัฐบาล โดยเรายังคงสานต่อหัวใจสำคัญอย่าง การกระตุ้นความต้องการเดินทางท่องเที่ยว (Drive Demand), การยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สร้างมาตรฐาน พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการและความคาดหวังของนักท่องเที่ยว ภายใต้การเสริมกำลังซึ่งกันและกันของทุกภาคส่วนแบบ 360 องศา (Partnership 360o) และเดินหน้าสู่ความยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจ ผลักดันการเติบโตรายได้อย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่าร้อยละ 7.5 สูงกว่าการเติบโตของ GDP ประเทศไทยปี 2568 ถึง 1.7 เท่า พาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยกลับไปอยู่ ณ จุดสูงสุดอีกครั้ง โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 39 ล้านคน และดึงไทยเที่ยวไทยมากกว่า 205 ล้านคน-ครั้ง สะท้อนศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่จะเป็นเรือธงอันทรงพลังผลักดันให้เศรษฐกิจไทย สังคมไทย และคนไทยเติบโตไปด้วยกันอย่างมีความสุขและยั่งยืน นำประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางทางการท่องเที่ยวระดับโลก




        ปี 2568 “เสน่ห์ไทย” และ “เมืองน่าเที่ยว” จะกลายเป็น Highlight Product อันเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ ททท. จะนำมารังสรรค์เป็นเมนูประสบการณ์ทรงคุณค่าที่กระตุ้นความต้องการเดินทางท่องเที่ยว ขยายฐานตลาด กระตุ้นความถี่และการกระจายตัวสู่จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทยมากขึ้น ด้าน “เสน่ห์ไทย” จะนำเสนอเชื่อมโยงกับแนวคิด 5 Must Do in Thailand ของรัฐบาล ประกอบด้วย Must Taste อาหารไทยบอกเล่าที่มาความอร่อยและวิถีการกินของคนแต่ละภาค Must Try มวยไทยและเรื่องราวศิลปะการต่อสู้ที่เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก Must Buy แฟชั่น ผ้าไทย และงานฝีมือ งานคราฟต์ที่เล่าเรื่องราวชีวิต การสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจของคนไทย Must Seek สถานที่ท่องเที่ยวเที่ยวใหม่ๆ หรือมุมมองและเรื่องราวใหม่ๆและ Must See เทศกาลงานประเพณี ที่สะท้อนวิถีชีวิต ความเชื่อของคนแต่ละท้องถิ่นทั่วไทย ในส่วน “เมืองน่าเที่ยว” จะเพิ่มพลังให้เป็นเมืองที่น่าไปเที่ยวไปเยือนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถสร้างการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น โดยดึงกลยุทธ์ City Marketing พัฒนาเมืองต่างๆ ให้เติบโตเข้าใกล้ความเป็นเมืองหลักด้านการท่องเที่ยว ค้นหาจุดขาย พลิกมุมมอง บอกเล่าเรื่องราวความเป็นไทยของแต่ละพื้นที่ หมุนเวียนกันไปจากเมืองสู่เมือง จากภาคสู่ภาค เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น High Season ตลอดทั้งปี




        สำหรับ ตลาดในประเทศ “ไทยเที่ยวไทย” รับโจทย์ท้าทายที่การมุ่งให้เกิดการเดินทางทันที เพิ่มความถี่ กระตุ้นการใช้จ่าย รวมทั้งดึงกลุ่มศักยภาพ (ไทยเที่ยวนอก) ให้กลับมาท่องเที่ยวในประเทศมากยิ่งขึ้น พร้อมเสิร์ฟความสุขไปกับ แคมเปญ “สุขทันที ที่เที่ยวไทย” โดยชวนคนไทยออกไปสุขทันทีที่ได้ไปใช้เวลาท่องเที่ยวกับคนที่รัก สิ่งที่รัก พร้อมใช้ Big Events และ Local Events ทั้งประเพณี ดนตรีและกีฬา และนำเสนอกิจกรรมท่องเที่ยวที่ตรงใจ กระตุ้นการใช้จ่ายของ Sub-culture Segment พร้อมกับการนำเสนออัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ประกอบด้วย ภาคเหนือ ชวนสัมผัส Season of the North เสน่ห์วันวานเมืองเหนือที่ผสานความสร้างสรรค์และความยั่งยืนอย่างลงตัว ผ่านอาหาร งานคราฟท์ และกิจกรรมเพื่อสุขภาพ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดประสบการณ์อาหารถิ่นผ่าน Gastronomy Tourism และม่วนคักกับความสนุกสนานของเทศกาลประเพณีที่บ่งบอกความเป็นมาและเป็นไปของชีวิตผู้คน จากนั้นค่อยเดินทางไปสัมผัสเสน่ห์ของ ภาคกลาง พื้นที่ลุ่มแม่น้ำที่มาพร้อมความสุขอันเรียบง่ายผ่านเรื่องราวมรดกศิลปวัฒนธรรม ศรัทธาและอาหาร แล้วไปสนุกกับ ภาคตะวันออก สีสันตะวันออก Colorful Burapha ด้วยกีฬากิจกรรมกลางแจ้ง อิ่มอร่อยกับพืชผัก ผลไม้และอาหารทะเลสดใหม่ สุดท้าย ภาคใต้ GO SOUTH ไปใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ ด้วยการเดินทางแบบ Wellcation และ Carbon Neutral Tourism พร้อมดื่มด่ำธรรมชาติสองฝั่งทะเล




         สำหรับ “ตลาดต่างประเทศ” มุ่งผลักดันการเติบโตของตลาดศักยภาพ 23 ตลาดทั่วโลกที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยและสร้างรายได้มากกว่า 80% ของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปี 2567 รวมถึงเพิ่มจำนวนตลาด 7 digits ให้ได้ถึง 13 ตลาดในปี 2568 พร้อมสานต่อผลักดันการเพิ่ม Seat Capacity เข้าไทย ทั้งการเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางบินปัจจุบัน เพิ่มเส้นทางบินใหม่ และขยายระยะเวลาการบิน ทั้ง Regular Flight และ Charter Flight ส่งเสริม “เมืองน่าเที่ยว” ที่มีศักยภาพพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว และ “เสน่ห์ไทย” ที่สอดคล้องกับความต้องการและรสนิยมของนักท่องเที่ยวในตลาดต่างประเทศ และต่อยอดกระแสความนิยมซีรีย์ ภาพยนตร์และ Music VDO ที่ถ่ายทำในประเทศไทยในกลุ่มแฟนดอม (Fandom) ให้เดินทางมาเที่ยวอย่างต่อเนื่องในปี 2568 เริ่มที่ ตลาดระยะใกล้ เตรียมพิชิตเส้นชัยด้วย 2 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) เจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่อายุน้อยลงอย่างกลุ่ม New Gen ด้วยการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศไทยในใจนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในตลาดจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และฮ่องกง และ 2) กระตุ้นความถี่และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว Sub-segment ศักยภาพ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม Millennials กลุ่มครอบครัว และกลุ่มผู้มีรายได้สูง อาทิ กลุ่ม Shopping mania ในตลาดอาเซียน และ กลุ่มขับรถเที่ยวและกลุ่มท่องเที่ยวทางรถไฟจากมาเลเซีย สิงคโปร์และจีน โดยเฉพาะอย่างตลาดจีน ในปี 2568 ททท. จะเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปีอย่างยิ่งใหญ่ด้วยกิจกรรมทั้งในระดับรัฐบาลกับรัฐบาล ธุรกิจกับธุรกิจ และระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศ อาทิ Nihao month เชิญอินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้ชื่อดังระดับโลกเดินทางมาประเทศไทย พร้อมทั้งจัด Joint Promotion ร่วมกับพันธมิตร กิจกรรม Chinese Passport Special Deals กระตุ้นการเดินทาง เพิ่มค่าใช้จ่ายและวันพักของนักท่องเที่ยวจีนจากพื้นที่เมืองหลักและเมืองรองของจีนเข้าไทย




       สำหรับ ตลาดระยะไกล : ตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา ให้น้ำหนักไปที่ การขยายตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพและการฟื้นความจุและความถี่ของเที่ยวบิน โดยมุ่งปักธงพื้นที่ตลาดใหม่ สร้างการรับรู้สินค้าและบริการท่องเที่ยว อาทิ เจาะกลุ่มตอนกลางของสหรัฐอเมริกา ขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ Quality Leisure โดยเฉพาะกลุ่ม First Visit ในตลาด UK และ Ireland ยุโรปตะวันตกและบอลข่าน ฝรั่งเศส โมนาโค และเบเนลักซ์ เจาะกลุ่ม New Gen ในตลาดอเมริกาและแคนาดาที่ใส่ใจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทั้งกลุ่ม Gen-Z ที่มองหาประสบการณ์ที่ให้ความหมายกับชีวิต กลุ่ม Millennials ที่ต้องการเจาะลึกวัฒนธรรมท้องถิ่นและ Active Outdoor Experience และกลุ่ม Asian American ตลาดที่เติบโตรวดเร็วและมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง รวมไปถึง เจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มไลฟ์สไตล์ที่ใช้จ่ายสูง เช่น กลุ่ม DINKs (Double Income, No Kids) และ LGBTQIAN ตลอดจน ตลาด Luxury ในกลุ่ม 6 ประเทศอาหรับ ทั้งนี้ ททท. จะใช้ แคมเปญ Amazing Thailand : Your Stories Never End สำหรับตลาดต่างประเทศ เพื่อชวนนักท่องเที่ยวมาร่วมสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำในประเทศไทย ค้นพบมุมมองใหม่ ให้เป็นเรื่องราวแห่งความประทับใจ มีคุณค่าและความหมาย เกิดเป็นการบอกต่อเรื่องราวและเดินทางซ้ำไม่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกถึงการเดินทางมาประเทศไทยเป็นครั้งแรกเสมอ





       นอกจากนี้ การมุ่งสู่ “ความยั่งยืน” ก็ยังคงเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จและภูมิคุ้มกันระยะยาวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดย ททท. จะเดินหน้าขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาแบรนด์ Amazing Thailand ให้เป็นแบรนด์ท่องเที่ยวไทยที่มุ่งสู่ความยั่งยืนบนรากฐานของเสน่ห์ไทยอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมไปกับการพัฒนา Supply Chain เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการการตลาดอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการ STGs STAR โครงการ CF Hotels และโครงการรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย หรือ Thailand Tourism Awards ที่จะผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่กระบวนการขายอย่างจริงจัง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ และก้าวสู่เวทีความยั่งยืนระดับโลกที่ถูกรับรองด้วยรางวัลและมาตรฐานสากลต่อไป



       ทั้งนี้ ททท. เชื่อมั่นว่า ปี 2568 จะเป็น Amazing Thailand Grand Tourism Year ก้าวต่อไปของการท่องเที่ยวไทยที่ยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง ก้าวข้ามอุปสรรค ความท้าทาย และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม จึงอยากจะเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก มาร่วมสัมผัสความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย Grand Invitation ความภาคภูมิใจในเสน่ห์ไทยที่เกิดจากการเปิดรับความหลากหลายและเปิดกว้างพร้อมที่จะแชร์เรื่องราวและคุณค่ากับผู้มาเยือน ให้มาร่วมสัมผัสการต้อนรับด้วยมิตรไมตรีจากความร่วมมือร่วมใจของพันธมิตรและคนไทย Grand Collaboration ที่อยากจะส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่พิเศษและทรงคุณค่า Grand Privilege มาร่วมแบ่งปันความสุขแบบไทยๆ ด้วยงานเฉลิมฉลองและเทศกาลยิ่งใหญ่ Grand Festivity มาสร้าง Moment ที่มีความหมาย Moment ที่ดีต่อใจและดีต่อโลก Grand Moment เพื่อเก็บความประทับใจไว้เป็นเรื่องเล่าต่อไป

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

MILKLAB นมจากพืชอันดับ 1 ของออสเตรเลีย เปิดตัวยิ่งใหญ่ในงาน Coffee Fest 2024

MILKLAB นมจากพืชอันดับ 1 ของออสเตรเลีย  เปิดตัวยิ่งใหญ่ในงาน Coffee Fest 2024 

อวดเมนูสร้างสรรค์โดยแชมป์บาริสต้าโลก ยกระดับประสบการณ์กาแฟในไทย


           MILKLAB นมจากพืชและธัญพืชระดับพรีเมียมเจ้าของรางวัลยอดเยี่ยมจากออสเตรเลีย เปิดตัวในไทยอย่างเต็มรูปแบบในงาน Thailand Coffee Fest 2024 ระหว่างวันที่ 11-14 กรกฎาคม หลังได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม ในงานแสดงสินค้านานาชาติ Thaifex Anuga โดยกลุ่มบริษัท Aroma ตัวแทนจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เชิญชวนคอกาแฟพบกับประสบการณ์แปลกใหม่ในรสชาติของกาแฟตลอด 4 วันของงาน ที่บูธ Q2 ในฮอลล์ 7 ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี


          มร.ปีเตอร์ บราวน์  ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลางของ MILKLAB  กล่าวถึงความน่าตื่นเต้นในการเปิดตัวทางการตลาดครั้งนี้ว่า  “เรารู้สึกยินดีมากที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ ของธุรกิจนมจากพืช และธัญพืชที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทย  ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบาริสต้า ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้ที่ชื่นชอบกาแฟทั่วไป เรามุ่งหวัง ที่จะทำให้ทุกคนได้เห็นว่า นมจากพืชซึ่งเป็นทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพนี้ สามารถยกระดับประสบการณ์ในการดื่มกาแฟของคุณได้อย่างไร และเปลี่ยนกาแฟแต่ละถ้วยให้เป็นผลงานสร้างสรรค์ที่ไม่ธรรมดาได้อย่างไร”


          MiILKLAB ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2558 และเติบโตอย่างแข็งแกร่งจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมในหมู่บาริสต้าด้วยการสร้างนิยามใหม่ ให้กับวงการกาแฟคาเฟ่ทั่วโลก กระแสความใส่ใจในสุขภาพส่งผลให้นมอัลมอนด์ของ MILKLAB กลายเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่พิถีพิถันในการดื่มกาแฟในออสเตรเลีย และวันนี้ ประเทศไทยก็กำลังได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์เช่นเดียวกันนั้น


           ผลิตภัณฑ์ของ MILKLAB ปราศจากส่วน ผสมของนมจากสัตว์ ผลิตจากพืชและธัญพืชต่างๆ ซึ่งมีหลากหลายให้เลือก ได้แก่ อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง มะพร้าวและแมคคาเดเมีย แต่ละชนิดจะให้รสชาติ ในการดื่มกาแฟ ที่มี     เอกลักษณ์ แตกต่างกันไป  วันนี้ MILKLAB ได้จับมือกับ Aroma Group ผู้จัดจำหน่าย อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจกาแฟมายาวนานถึง 70 ปี มีความเชี่ยวชาญของ เป็นที่ประจักษ์ในด้านโซลูชั่น กาแฟแบบครบวงจร โดยจะทำหน้าที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ MILKLAB ผ่านผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 2,000 ราย ผู้ค้าปลีก 7,000 ราย และร้าน Aroma อีก 30 แห่ง

            นอกจากนี้ ผู้บริโภคสามารถเลือกสั่งนมจากพืชของ MILKLAB ได้ที่ Hario Café ร้านกาแฟชาวดอย Muji Café 22 แห่งที่มี MILKLAB Oat Milk เป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค และ Specialty Café อีกมากมายหลากแห่ง ที่เตรียมยกระดับทางเลือกในการดื่มกาแฟด้วยผลิตภัณฑ์จาก MILKLAB


            นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหาร บริษัท อโรมา กรุ๊ป กล่าวว่า "  กระแสการตอบรับที่ดีเยี่ยมของ MILKLAB   ใน งาน Thaifex เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแผนพัฒนา ทางการตลาดที่น่าตื่นเต้นสำหรับโลก กาแฟในประเทศไทย และเพื่อฉลองการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เราจึงได้จัดกิจกรรมพิเศษ MILKLAB Collab ขึ้นที่งาน Thailand Coffee Fest 2024 โดย MILKLAB จะร่วมกันนำเสนอเมนูกาแฟสุดสร้างสรรค์ ทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น.”


            ไฮไลท์ของกิจกรรมเป็นการสาธิตจาก Mikael Jasin แชมป์บาริสต้าจาก 2024 World Barista Championship ที่เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับแชมป์และบาริสต้าที่มีชื่อเสียงอื่นๆ และเรียนรู้ เทคนิคการสร้างสรรค์กาแฟลาเต้ชั้นเลิศจาก @missmookxx เทรนเนอร์บาริสต้าชื่อดังจากออสเตรเลีย

             นัดนี้พลาดไม่ได้ พบกันที่ Coffee Fest Thailand วันนี้ - 14 กรกฎาคม เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งอนาคตของกาแฟ กับนมจากพืชระดับพรีเมียมของ MILKLAB 

รายละเอียดเพิ่มเติม/ลงทะเบียนร่วมกิจกรรม ได้ที่เว็บไซด์  https://thailandcoffeefest.org/register

                                                                             

                                                                                                                

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่สตรีแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรี

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่สตรีแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส

ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรี

       มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วยนางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการฯ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์  และนางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อย มีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม จำนวน 20 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 398,380 บาท (สามแสนเก้าหมื่นแปดพันสามร้อยแปดสิบบาทถ้วน) เพื่อให้สตรีได้นำวัสดุอุปกรณ์ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว อันเป็นการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติอย่างยั่งยืน

โดยมี นางวรรณภา สุขคง รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว นางสาวชนมณัฐ รอดบุญธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และนางสาวจุรีพร ภิบาลจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดศรีสะเกษ ร่วมในพิธี พร้อมกันนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้นำทีมหน่วยแพทย์ฯ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชน ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น ฯลฯ โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันพุธที่ 10 กรกฎาคม 2567

      โครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรี มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อย มีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม มีความรู้ความสามารถ แต่ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ โดยมูลนิธิฯ มุ่งหวังในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างชีวิต ให้กับสตรีได้นำวัสดุอุปกรณ์ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป  โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 10 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูนลำปาง เชียงราย และจังหวัดพิษณุโลก

     โดยตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่สตรีไปแล้ว 5 แห่ง จำนวน 32 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 620,299 บาท (หกแสนสองหมื่นสองร้อยเก้าสิบเก้าบาทถ้วน)

      ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

#ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต#

#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418

#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน 

ททท. จับมือเซ็นทรัลพัฒนา และยักษ์ใหญ่วงการอาร์ตทอย จัดงาน The World’s Great Celebration 2025

ททท. จับมือเซ็นทรัลพัฒนา และยักษ์ใหญ่วงการอาร์ตทอย  จัดงาน The World’s Great Celebration 2025  เทศกาลแห่งความสุขระดับโลก        เมื่อประเทศไ...