วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

วันเสาร์ 4 ต.ค. 68 นี้ ชมซีรี่ส์ "เรื่องเล่าอาจารย์ยอด" ตอน "นางสาง"

วันเสาร์ 4 ต.ค. 68 นี้ ชมซีรี่ส์ "เรื่องเล่าอาจารย์ยอด" ตอน "นางสาง" 



    วันเสาร์ 4 ตุลาคม 2568 ติดตามชมซีรี่ส์ "เรื่องเล่าอาจารย์ยอด" ตอน "นางสาง" พร้อมเพิ่มเวลาเป็น 1 ชั่วโมงเต็ม เพื่อฉลองเรตติ้ง พุ่งขึ้นเรื่อยๆ ทาง #ช่อง7HD เวลา 17.00 น.   พร้อมเพิ่มเวลาเป็น 1 ชั่วโมงเต็ม เพื่อฉลอง #เรตติ้ง พุ่งขึ้นเรื่อยๆ



เรื่องย่อ...นางสาง

      วิสางจากบ้านมาเป็นสาวโรงงานเย็บผ้าในกรุงเทพ ได้รู้จักกับพลหนุ่มโรงงานแผนกขนส่งในโรงงานเดียวกัน ทั้งสองตกลงปลงใจคบหาและได้เสียกันจนสางท้อง สางพยายามถามเรื่องงานแต่งที่พลรับปากว่าจะเก็บเงินมาสู่ขอ แต่พลก็หลบหน้าไม่อยากพูดคุย สางตามตื้อไม่เลิก พลนัดว่าจะไปหาในตอนกลางคืน พลพาเสี่ยซ้งที่ตนติดหนี้พนันมาด้วยและขายสางให้เสี่ยบำเรอความใคร่




       สางกลายเป็นสินค้าทำเงินให้กับพล เมียพลที่รู้เรื่องก็ตามมาจัดการสางถึงโรงงาน พลบอกเมียว่าตนทำกับสางเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่ผ่านมาและให้เมียช่วยกำจัดเด็กในท้องของสางออกไป แต่สางหนีออกไปได้ พลโดนแทงตายเพราะทะเลาะกันกับเมีย สางหนีกลับบ้านไปหาพ่อ ด้วยความสวยหนุ่มๆในหมู่บ้านจึงหมายตาสางกันไม่น้อย ยิ่งสางตั้งท้องก็ยิ่งทำให้ดูมีน้ำมีนวลขึ้น จนเชิด อาบและว่าน สามสหายได้รุมข่มขืนสางและฆ่าทิ้ง วิญญาณนางสางได้กลับมาแก้แค้นโดยฆ่าคนที่ทำร้ายตนเองทีละคน

       มาร่วมติดตามชมใน ซีรี่ย์ "เรื่องเล่าอาจารย์ยอด" ตอน "นางสาง" วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคมนี้ เวลา 17.00 น. ทาง CH7HD 

#ค่ายจ๊ะทิงจา #JatingjaComplex #เรื่องเล่าอาจารย์ยอด ในตอน #นางสาง 

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2568

สวพส. เปิดตัวเครื่องหมาย Eco Brand สินค้าดี จากเกษตรกรดี สู่ผู้บริโภคที่รักสิ่งแวดล้อม

สวพส. เปิดตัวเครื่องหมาย Eco Brand

สินค้าดี จากเกษตรกรดี สู่ผู้บริโภคที่รักสิ่งแวดล้อม


     สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานโครงการหลวงและขยายผลความสำเร็จไปยังพื้นที่สูงในประเทศ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูง โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และนานาประเทศ เพื่อพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ด้วยการประกอบอาชีพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทดแทนการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมที่ใช้พื้นที่มาก สูญเสียพื้นที่ป่า และเกิดฝุ่นควันจากการเผา

     สวพส. ได้เปิดตัว “ECO BRAND” หรือ เครื่องหมายรับรองสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือ สินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยตามมาตรฐาน (GAP และเกษตรอินทรีย์) จากการผลิตของเกษตรกรที่มุ่งมั่นดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการประกอบอาชีพในพื้นที่ที่ถูกต้อง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและไม่เผา (สร้าง PM2.5) เพื่อส่งมอบสินค้าที่ดีและปลอดภัยให้ผู้บริโภคที่ใส่ใจธรรมชาติ

     ECO BRAND คือ สัญลักษณ์ความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ตลาด และผู้บริโภค ในการช่วยกันดูแล รักษา และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวหรือทำไร่หมุนเวียน มาสู่การทำเกษตรที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หันมาปลูกพืชทางเลือก เช่น ผักปลอดภัย กาแฟ และไม้ผล ภายใต้มาตรฐานอาหารปลอดภัย (Good Agricultural Practice: GAP) และเกษตรอินทรีย์ที่ใช้พื้นที่น้อย สร้างผลตอบแทนสูง และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


     นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายที่ต้องการสร้างการรับรู้ ECO BRAND เพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้บริโภค ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีตราสัญลักษณ์นี้ นำไปสู่การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ด้วยระบบตรวจสอบที่โปร่งใส บนฐานข้อมูล เกษตรกรสามารถบอกได้ว่า “ใครเป็นผู้ปลูก อยู่ที่ไหน และปลูกอย่างไร” โดยมีระบบสอบทวนย้อนกลับ (Traceability System) ที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าได้ทุกขั้นตอนอย่างแม่นยำ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสินค้าเกษตรที่คุณเลือก ไม่เพียงปลอดภัยต่อสุขภาพ แต่ยังช่วยรักษาป่า ลดหมอกควัน และสร้างรอยยิ้มให้กับเกษตรกรบนพื้นที่สูง

      สวพส. ได้เริ่มดำเนินการรับรอง ECO BRAND เมื่อปี พ.ศ. 2566 ปัจจุบันมีเกษตรกร 3,181 ราย 53 กลุ่ม ที่ได้รับการรับรอง ใน 7 ชนิดพืช รวม 5,390 แปลง ประกอบด้วย กาแฟ 913 แปลง โกโก้ 17 แปลง ชา 164 แปลง พืชผัก 2,142 แปลง พืชท้องถิ่น 86 แปลง ไม้ผล (อะโวคาโด เสาวรส องุ่น มะม่วง) 1,974 แปลง และพืชไร่ 88 แปลง ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายสินค้า ECO BRAND จากทุกภาคส่วน และแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างได้อย่างยั่งยืน


ผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อสินค้า Eco Brand ได้ทางออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ “ของดีบนดอย” เป็นช่องทางติดต่อระหว่างเกษตรกรบนพื้นที่สูงกับผู้บริโภคโดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดและสร้างความมั่นใจว่าสินค้าที่เลือกซื้อ มาจากระบบเกษตรที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

 “ทุกครั้งที่คุณเลือก Eco Brand คุณคือคนดีที่ช่วยเปลี่ยนโลกใบนี้ให้ยั่งยืน”

เว็บไซต์ : ของดีบนดอย https://farmtd.hrdi.or.th/shop/


วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568

แอมเวย์ ไชน่า เลือกไทยจัดประชุมองค์กรใหญ่สุดในอาเซียน ผู้ร่วมงานจากจีนกว่าหมื่นคน

แอมเวย์ ไชน่า เลือกไทยจัดประชุมองค์กรใหญ่สุดในอาเซียน

ผู้ร่วมงานจากจีนกว่าหมื่นคน 

ทีเส็บจัด Slow Living Experience ต้อนรับ

     สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดแถลงข่าวในงาน IT&CM Asia and CTW Asia-Pacific 2025 ประกาศแอมเวย์ ไชน่า จะนำตัวแทนกว่า 10,000 คน เดินทางมาจัดการประชุมสัมมนาผู้นำประจำปี Amway Leadership Seminar – Bangkok ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม – 13 เมษายน 2569 ถือเป็นงานประชุมองค์กรของแอมเวย์ ไชน่าขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมขานรับแนวคิดทีเส็บจัด “Slow Living” Travel Experience ผสมผสานการประชุมทางธุรกิจกับประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม วิถีริมฝั่งน้ำและไลฟ์สไตล์ที่ลึกซึ้งใจกลางกรุงเทพฯ

     การจัดงานครั้งนี้ยังตรงกับโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน โดยกรุงเทพฯ ในฐานะ “สะพานแห่งมิตรภาพ” ของสองประเทศจะเป็นเจ้าภาพในการต้อนรับงานครั้งสำคัญของแอมเวย์ ไชน่า ที่เชื่อมโยงประชาชนทั้งสองประเทศอย่างแน่นแฟ้น

      การประชุมสัมมนาผู้นำประจำปี Amway Leadership Seminar – Bangkok เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมือที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนานกว่า 2 ปี ระหว่างทีเส็บ แอมเวย์ ไชน่า และหน่วยงานพันธมิตรไทย   ทั้งนี้ ทีเส็บเคยสนับสนุนการสัมมนาผู้นำในต่างประเทศครั้งแรกของแอมเวย์ ไชน่า ที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2540 สำหรับงานปี 2569 ทีเส็บยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและนำเสนอแนวคิด “Slow Living” ชูประสบการณ์วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กับผู้ร่วมงาน อำนวยความสะดวกด้านการประสานงานหน่วยงานรัฐ การให้บริการตรวจคนเข้าเมืองผ่าน MICE Lane Service สำหรับแขกวีไอพี พร้อมสนับสนุนงานการแสดงทางวัฒนธรรม มอบสิทธิพิเศษจากพันธมิตรภาคธุรกิจ และดูแลมาตรการด้านการต้อนรับ ความปลอดภัย และการท่องเที่ยวทั่วประเทศ ตอกย้ำบทบาททีเส็บในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์ชั้นนำของเอเชีย

      ดร. ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้แนวคิดทีมไทยแลนด์ เพื่อต้อนรับแอมเวย์ ไชน่า กลับสู่ประเทศไทย การจัดงานที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 10,000 คน ไม่เพียงสะท้อนถึงความสัมพันธ์ไทย–จีนที่แน่นแฟ้น แต่ยังแสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ของไทยในการมอบประสบการณ์ไมซ์ที่มีคุณค่าและแปลกใหม่นอกกรอบความคิดเดิมๆ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่ นับเป็นอีกก้าวสำคัญในอุตสาหกรรมไมซ์และการท่องเที่ยวไทย และเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ประเทศไทยโดดเด่นในฐานะจุดหมายปลายทางระดับพรีเมียม”

      ด้าน นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “ประเทศไทยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับตัวแทนกว่า 10,000 คน จากแอมเวย์ ไชน่า สู่กรุงเทพฯ เมืองศูนย์กลางแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เต็มไปด้วยพลัง และเป็นเมืองที่หลอมรวมระหว่างความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมกับความก้าวหน้าสมัยใหม่ ภายใต้โครงการ ‘Vibrant Bangkok City’ เราขอเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ดื่มด่ำไปกับวิถีชีวิตท้องถิ่น ตั้งแต่การลิ้มรสอาหารริมทางที่สืบทอดสูตรมาหลายชั่วอายุคน การค้นพบวัดวาอารามที่ซ่อนตัวท่ามกลางตึกสูง ไปจนถึงการมีส่วนร่วมกับช่างฝีมือที่สืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของไทย นี่คือการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ในความหมายที่แท้จริง ซึ่งเปี่ยมด้วยความเป็นต้นตำรับและรังสรรค์ด้วยความใส่ใจ

     การสัมมนาครั้งนี้ สะท้อนถึงความพร้อมของประเทศไทยในการมอบประสบการณ์ไมซ์ระดับโลก ที่มีเอกลักษณ์แบบไทยแท้ พร้อมกันนี้ ยังถือเป็นโอกาสอันดีในการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย–จีน เราขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เปี่ยมด้วยคุณค่า ทุกการเดินทางจะได้รับการเติมเต็มด้วยการเชื่อมโยงที่แท้จริง และทุกช่วงเวลาจะสร้างความประทับใจที่ยั่งยืน อันเกิดจากความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะสร้างแรงบันดาลใจ เชื่อมโยง และต้อนรับทุกท่านด้วยใจที่เปิดกว้าง”

     ในส่วนของมาตรการด้านความปลอดภัยและความมั่นใจ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้เข้าร่วมงาน ทีเส็บได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ จัดเตรียมมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางระหว่างสนามบิน โรงแรม และสถานที่จัดงาน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยบริการ MICE Lane ณ สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองแบบรวดเร็วสำหรับวีไอพี ตอกย้ำความมุ่งมั่นของไทยในการมอบประสบการณ์ไมซ์ระดับโลก ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินทางมาถึง

      ความร่วมมือยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ แอมเวย์ ไชน่า มีความสัมพันธ์อันยาวนานกับประเทศไทย นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2538 และเลือกกรุงเทพฯ เป็นสถานที่จัดสัมมนาผู้นำในต่างประเทศครั้งแรกเมื่อปี 2540 การกลับมาจัดงานในปี 2569 จึงถือเป็นการหวนคืนครั้งสำคัญ สะท้อนถึงมิตรภาพอันยั่งยืน และสอดคล้องกับการเฉลิมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน อีกทั้งการประชุมครั้งนี้ยังเป็นงานองค์กรที่ใหญ่ที่สุดของแอมเวย์ ไชน่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับตั้งแต่ปี 2559

      การเปิดประสบการณ์ “Bangkok Slow Living” Amway Leadership Seminar – Bangkok จะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างจากการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม ผ่านการนำเสนอวิถีชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัส “Riverfront Living Circuit” หรือโปรแกรม “Bangkok Slow Living” เพื่อค้นพบกรุงเทพฯ ในมุมมองใหม่ ทั้งกิจกรรมทำสมาธิริมแม่น้ำ การฝึกสติสะท้อนมิติทางวัฒนธรรม การลิ้มรสอาหารท้องถิ่นชื่อดัง ตลอดจนพักผ่อนในโรงแรมหรูชั้นนำที่นำเสนอกิจกรรมผสมผสานการบำบัดแบบสปาไทย โยคะ และกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

     ดร. ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสร้าง กล่าวทิ้งท้ายว่า การจัดงานครั้งนี้ของแอมเวย์ ไชน่า คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนอย่างมหาศาลแก่ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และอุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม อีกทั้งยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว “The New Thailand” ที่ผสานมรดกทางวัฒนธรรม สุขภาพ และวิถีชีวิตสมัยใหม่เพื่อดึงดูดนักเดินทางกลุ่มไมซ์ งานนี้ไม่เพียงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าร่วมงานได้ค้นพบประเทศไทยในมุมมองใหม่ อีกทั้งยังเป็นการสานสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับจีน และต้อนรับตัวแทนแอมเวย์ สู่ประสบการณ์ที่น่าจดจำในกรุงเทพฯ

     “Amway Leadership Seminar – Bangkok คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 858 ล้านบาท (ประมาณ 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้กับอุตสาหกรรมไมซ์และบริการด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย และสร้างงานกว่า 860 ตำแหน่งในภาคการบริการ การจัดเลี้ยง การขนส่ง และบริการด้านอีเวนต์ อีกทั้งยังคาดว่าจะสร้างรายได้จากการจัดเก็บภาษีประมาณ 38 ล้านบาท (1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผ่านภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตอกย้ำบทบาทเชิงกลยุทธ์ของไมซ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย” 


วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568

คต. ลุยต่อยอดวิจัยเกษตรนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ เปิดสัมมนา Agri Plus Intelligence

คต. ลุยต่อยอดวิจัยเกษตรนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ 

เปิดสัมมนา Agri Plus Intelligence 

พร้อมจัดเวิร์คชอปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 

สแกนธุรกิจ ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่สากล


     กรมการค้าต่างประเทศ (คต.) ติวเข้มผู้ประกอบการสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย เปิดเวทีสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” พร้อมจับมือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop : SCAN ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล มุ่งเป้า SMEs และนักวิจัย ใช้นวัตกรรมต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร และขยายโอกาสทางการค้า


     นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการต่อยอดงานวิจัยและสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการค้า โดยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 กรมฯ ได้จัดสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและเอกชน นักการตลาดชั้นนำ รวมถึงนักวิจัย ที่มาร่วมผสานพลังเติมเต็มองค์ความรู้ที่จะช่วยปลดล็อคศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยให้พร้อมเข้าสู่ตลาดสากล


โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ การเสวนาหัวข้อ “Agri Plus Intelligence: ถอดรหัสเทรนด์โลกและโอกาสของสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย” โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทรนด์การตลาด การวิจัย และนวัตกรรม การเสวนา “From Lab to a Billion” ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และตัวแทนผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการต่อยอดงานวิจัย มาร่วมแบ่งปันความรู้ ชี้แนะ Roadmap เส้นทางสู่ธุรกิจเกษตรมูลค่าสูง การบรรยายในหัวข้อ “Branding for Tomorrow” โดยแบรนด์กูรูชั้นนำของประเทศ และในหัวข้อ “Digital Harvest” พลิกเกมการตลาดด้วย Social Commerce และ AI” โดยนักการตลาดดิจิทัลมืออาชีพ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Business Networking เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เชื่อมโยงพันธมิตรทางธุรกิจ และการจัดแสดง “Agri Plus Showcase” โชว์ผลิตภัณฑ์เกษตรนวัตกรรมจากการต่อยอดงานวิจัยอีกด้วย



     นอกจากการสัมมนาที่มีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลามแล้ว กรมฯ ได้ผนึกกำลังกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop: Scan ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล ระหว่างวันที่ 17 - 19 กันยายน 2568 โดยนำทัพผู้เชี่ยวชาญมาช่วยประเมินความพร้อมในการประกอบธุรกิจแบบ Exclusive พร้อมให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการแบบครบวงจร โดยผู้เข้าร่วมได้รับแนวทางการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงการต่อยอดธุรกิจแบบ Insight เพื่อการขยายธุรกิจเกษตรนวัตกรรมสู่สากลได้อย่างเป็นรูปธรรม


    นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมฯ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความสำเร็จบนเวทีการค้าโลก ผลักดันมูลค่าการค้าของไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มีความมุ่งมั่นในการผลักดันผู้ประกอบการเกษตรนวัตกรรมไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าได้อย่างมีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้เกษตรกร ผ่านกลไกการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยนวัตกรรมเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ตามนโยบาย ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้


     หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดสัมมนาและ Exclusive Workshop ในครั้งนี้จะเป็นแรงส่งเสริมผู้ประกอบการและนักวิจัยในการต่อยอดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ตลาดสากลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของกรมการค้าต่างประเทศในการส่งเสริม ผลักดัน เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน และขยายโอกาสทางการค้าสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยได้อย่างยั่งยืน 

พร้อมจัดเวิร์คชอปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 

สแกนธุรกิจ ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่สากล


     กรมการค้าต่างประเทศ (คต.) ติวเข้มผู้ประกอบการสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย เปิดเวทีสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” พร้อมจับมือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop : SCAN ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล มุ่งเป้า SMEs และนักวิจัย ใช้นวัตกรรมต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร และขยายโอกาสทางการค้า


     นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการต่อยอดงานวิจัยและสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการค้า โดยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 กรมฯ ได้จัดสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและเอกชน นักการตลาดชั้นนำ รวมถึงนักวิจัย ที่มาร่วมผสานพลังเติมเต็มองค์ความรู้ที่จะช่วยปลดล็อคศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยให้พร้อมเข้าสู่ตลาดสากล


โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ การเสวนาหัวข้อ “Agri Plus Intelligence: ถอดรหัสเทรนด์โลกและโอกาสของสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย” โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทรนด์การตลาด การวิจัย และนวัตกรรม การเสวนา “From Lab to a Billion” ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และตัวแทนผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการต่อยอดงานวิจัย มาร่วมแบ่งปันความรู้ ชี้แนะ Roadmap เส้นทางสู่ธุรกิจเกษตรมูลค่าสูง การบรรยายในหัวข้อ “Branding for Tomorrow” โดยแบรนด์กูรูชั้นนำของประเทศ และในหัวข้อ “Digital Harvest” พลิกเกมการตลาดด้วย Social Commerce และ AI” โดยนักการตลาดดิจิทัลมืออาชีพ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Business Networking เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เชื่อมโยงพันธมิตรทางธุรกิจ และการจัดแสดง “Agri Plus Showcase” โชว์ผลิตภัณฑ์เกษตรนวัตกรรมจากการต่อยอดงานวิจัยอีกด้วย



     นอกจากการสัมมนาที่มีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลามแล้ว กรมฯ ได้ผนึกกำลังกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop: Scan ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล ระหว่างวันที่ 17 - 19 กันยายน 2568 โดยนำทัพผู้เชี่ยวชาญมาช่วยประเมินความพร้อมในการประกอบธุรกิจแบบ Exclusive พร้อมให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการแบบครบวงจร โดยผู้เข้าร่วมได้รับแนวทางการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงการต่อยอดธุรกิจแบบ Insight เพื่อการขยายธุรกิจเกษตรนวัตกรรมสู่สากลได้อย่างเป็นรูปธรรม


    นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมฯ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความสำเร็จบนเวทีการค้าโลก ผลักดันมูลค่าการค้าของไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มีความมุ่งมั่นในการผลักดันผู้ประกอบการเกษตรนวัตกรรมไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าได้อย่างมีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้เกษตรกร ผ่านกลไกการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยนวัตกรรมเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ตามนโยบาย ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้


     หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดสัมมนาและ Exclusive Workshop ในครั้งนี้จะเป็นแรงส่งเสริมผู้ประกอบการและนักวิจัยในการต่อยอดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ตลาดสากลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของกรมการค้าต่างประเทศในการส่งเสริม ผลักดัน เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน และขยายโอกาสทางการค้าสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยได้อย่างยั่งยืน

วีระ-สารวัตรแรมโบ้ บุกบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ทวงผืนแผ่นดินไทย

วีระ-สารวัตรแรมโบ้ บุกบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ทวงผืนแผ่นดินไทย วีระ ฟาด 40 ปี นิ่งเฉย ไม่ทำอะไร      บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหว...