วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2565

ทีเส็บจัดงาน MICE Day 2022 เปิดตัวแบรนด์อุตสาหกรรมไมซ์ประเทศไทยตลาดต่างประเทศ พร้อมประกาศปีแห่งการจัดประชุม

ทีเส็บจัดงาน MICE Day 2022 เปิดตัวแบรนด์อุตสาหกรรมไมซ์ประเทศไทยตลาดต่างประเทศ พร้อมประกาศปีแห่งการจัดประชุม

             นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ แถลงข่าวให้รายละเอียดเกี่ยวกับความสำคัญและภาพรวมของงาน  MICE DAY 2022 : ไมซ์ไทย ก้าวสู่วันอันยิ่งใหญ่ และโครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ 2565 ณ ทรูไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2565              นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการทีเส็บ กล่าวว่า ทีเส็บ ชูงาน MICE Day 2022 สร้างการรับรู้บทบาทอุตสาหกรรมไมซ์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการผลักดันไมซ์สู่วาระแห่งชาติ พร้อมเปิดตัวแบรนด์อุตสาหกรรมไมซ์ประเทศไทยสำหรับสื่อสารตลาดต่างประเทศ “THAILAND MICE: Meet the Magic” และประกาศปีแห่งการจัดประชุม “MICE to Meet You in Thailand Year 2023” เดินหน้าชูมิติใหม่อุตสาหกรรมไมซ์ไทย ตอบสนองความต้องการของโลกธุรกิจในยุคดิจิทัล-นิวนอร์มัล ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้วันที่ 26 เมษายนของทุกปี เป็นวันจัดประชุมและนิทรรศการแห่งชาติ (MICE Day) เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้ถึงคุณค่า และความสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน 

         ทีเส็บจึงได้จัดงาน MICE Day 2022: ไมซ์ไทย ก้าวสู่วันอันยิ่งใหญ่ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมกล่าวปาฐกถาแนวนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านอุตสาหกรรมไมซ์ และมอบโล่เชิดชูเกียรติให้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดประชุมนานาชาติ (Convention Ambassador) ได้แก่ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา Hororany Convention Ambassador-Medical และ รองศาสตราจารย์ ดร. ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษด้านพัฒนาการศึกษา บุคลากรและเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) Convention Ambassador-Robotics ซึ่งปีนี้ได้จัดขึ้นเป็นปีแรก เพื่อเป็นแรงสนับสนุนให้กับผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพ ร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยใช้ไมซ์เป็นเวทีขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และเพิ่มพูนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในทุกสาขาวิชาชีพ เพื่อพัฒนาศักยภาพการจัดประชุมนานาชาติของประเทศไทย ณ ทรูไอคอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม

         การจัดงานครั้งนี้นอกจากจะเป็นการตอกย้ำความสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ ยังมุ่งให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการผลักดันไมซ์ให้เป็นวาระแห่งชาติ เปิดตัวแบรนด์อุตสาหกรรมไมซ์ประเทศไทยสำหรับตลาดต่างประเทศในมิติใหม่ภายใต้แนวคิด “THAILAND MICE: Meet the Magic” พร้อมประกาศปีแห่งการจัดประชุม “MICE to Meet You in Thailand Year 2023” ซึ่งเชื่อมโยงกับแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติด้านต่างประเทศประจำปี 2565 ตามแนวทางของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติผ่านเรื่องสื่อสารสำคัญด้านต่างประเทศ ภายใต้แนวคิดหลัก New Chapter of Thailand ก้าวใหม่ไทยในช่วงหลังโควิด มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนไทยและชาวต่างประเทศต่อการต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นเจ้าภาพ APEC ในปี พ.ศ. 2565 ของประเทศไทย เพื่อสร้างภาพลักษณ์และฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้ประเทศไทยและอุตสาหกรรมไมซ์“ THAILAND MICE: Meet the Magic” คือ แบรนด์อุตสาหกรรมไมซ์ประเทศไทยสำหรับสื่อสารตลาดต่างประเทศ ที่แสดงถึงบทบาทของประเทศไทยในการเป็นพันธมิตรผู้ร่วมสร้างความประทับใจให้กับการจัดงานไมซ์ อันนำไปสู่บทใหม่ของไมซ์ไทยที่มีมนต์ขลังไม่รู้จบ ที่สามารถตอบสนองกับโลกปัจจุบันในยุคดิจิทัล-นิวนอร์มัล เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวต่อไปอีกครั้ง โดยมุ่งเน้น 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ APEC 2022 & Hub Thailand ศูนย์กลางของนานาประเทศ Tech and Innovation นวัตกรรมไทย ไฮ - เทคโนโลยี Health Care สาธารณสุขไทยในระดับโลก และ Thai Culture Universal Soft Power วัฒนธรรมไทยก้าวไกลสู่สากล โดยจะนำเสนอผ่านแคมเปญโฆษณาประชาสัมพันธ์  ที่เน้นศักยภาพประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการจัดงานไมซ์ระดับโลก ที่มีเอกลักษณ์ทั้งด้าน Soft Power หรือศักยภาพทางวัฒนธรรม เช่น อาหาร วัฒนธรรม การบริการ ศิลปะ สินค้าไทย ฯลฯ  และ Hard Power หรือศักยภาพของความเจริญด้านเศรษฐกิจ เช่น ระบบโลจิสติกส์ เทคโนโลยี มาตรการสุขอนามัย สถานที่จัดงาน ฯลฯ ซึ่งประเทศไทยนั้นอุดมไปด้วยองค์ประกอบที่แตกต่าง แต่สามารถผสานอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลและยั่งยืน  นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ขับเคลื่อนประเทศไทยให้โดดเด่นในสายตานานาชาติ

             นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการทีเส็บ กล่าวต่อไปว่า “ทีเส็บ ยังเดินหน้าเชิงรุกประกาศไมซ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านแคมเปญ “MICE to Meet You in Thailand Year 2023” ประกาศปีแห่งการจัดประชุมและนิทรรศการในประเทศไทย สอดรับการจัดงานใหญ่ APEC 2022 ปลายปีนี้ เพื่อเป็นกลไกดึงงาน สร้างเงิน กระตุ้นนักเดินทางจากทั้งในและต่างประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกระจายรายได้สู่พื้นที่ต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เจาะตลาดคุณภาพ โดยเน้นงานที่ตอบโจทย์ BCG Economy Model ของรัฐบาล ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ 

    กลยุทธ์ที่ 1 : สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน กระตุ้นให้หน่วยงานรัฐดึงงานจากต่างประเทศ และร่วมมือกับเอกชนดึงงานประชุมรูปแบบ Annual Global Conference งานประจำปีของแต่ละบริษัทให้เข้ามาจัดในประเทศไทย

     กลยุทธ์ที่ 2 : สร้างเงินหมุนเวียนกระจายรายได้ทั่วภูมิภาค เสนอเพิ่มการจัดงานไมซ์ในระดับภูมิภาค และกําหนดให้เป็นภารกิจของจังหวัด ยกระดับงานไมซ์ และผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐจัดประชุมสัมมนานอกสถานที่ตั้ง

      กลยุทธ์ที่ 3 : ยกระดับและพัฒนาปัจจัยสนับสนุน โดยยกระดับการให้บริการแบบศูนย์บริการเบ็ดเสร็จในทุกมิติ เช่น ให้ข้อมูลเชิงลึกและอํานวยความสะดวกสําหรับการประกอบธุรกิจไมซ์ รวมถึงส่งเสริมการลงทุนให้ผู้ประกอบการไมซ์ปรับปรุงสถานที่ พัฒนาการให้บริการ และบูรณาการการส่งเสริมการตลาดในระดับนานาชาติ โดยดำเนินงาน 4 ด้าน ประกอบด้วย 

     1. ก้าวใหม่ระดับโลก ดึงงานใหญ่เข้าสู่ประเทศ เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเมกะอีเวนต์ระดับโลกร่วมกับกระทรวงและจังหวัด อาทิ เอ็กซ์โป 2028 - ภูเก็ต ประเทศไทย (EXPO 2028 Phuket, Thailand) งานมหกรรมพืชสวนโลกอุดรธานี 2026 และที่นครราชสีมา 2029 การประมูลสิทธิ์งานที่มีศักยภาพสูงโดยเฉพาะงานระดับโลก การเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมประจำปีของสมาคม และโครงการ One Ministry, One Convention การดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการประมูลสิทธิ์งานที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของแต่ละหน่วยงานให้เข้ามาจัดในประเทศไทย โดยมีงานเป้าหมาย อาทิ Annual Meetings of the World Bank Group and the International Monetary Fund 2025 ร่วมกับ กระทรวงการคลัง World Water Forum 2027 ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ World Energy Congress 2028 ร่วมกับกระทรวงพลังงาน

      2. ก้าวแกร่งทั่วภูมิภาค ยกระดับงานสู่มาตรฐานสากล ดำเนินงานผ่านโครงการความร่วมมือ อาทิ โครงการงานแสดงสินค้าในประเทศ หรือ Empower Thailand Exhibition (EMTEX) โครงการประชุมส่งเสริมศักยภาพการเติบโตด้านการค้า-การลงทุนแนวระเบียงเศรษฐกิจ สนับสนุนการจัดการไมซ์ตามภูมิภาค และโครงการยกระดับ Flagship Event ขึ้นสู่ Global Ranking เช่น งานแห่เทียนพรรษา อุบลราชธานี งานไหมนานาชาติ ขอนแก่น รวมถึงพัฒนางานภายในท้องถิ่น (Homegrown) ทั่วประเทศ เพื่อสร้างมรดกทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

     3. ก้าวข้ามอุปสรรคด้วยศักยภาพไมซ์ไทยทุกมิติ พัฒนาบุคลากรและมาตรฐานการให้บริการ มุ่งพัฒนาบุคลากรไมซ์สร้างคนคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมไมซ์ทั้งระดับพื้นที่และระดับนานาชาติ อาทิ การจัดทํามาตรฐาน ISO รับรองคุณวุฒิวิชาชีพไมซ์ใน 5 กลุ่มสาขาวิชาชีพ รวมถึงส่งเสริมการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มตามแนวทางนิวนอร์มัล และการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี อำนวยความสะดวกอย่างครบวงจรให้กับนักเดินทางไมซ์ เช่น การจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกอุตสาหกรรมไมซ์ (Thailand MICE One Stop Service) ในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์มผ่านช่องทาง www.thaimiceoss.com พร้อมมุ่งเน้นการรณรงค์การบริหารการจัดงานอย่างยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ เพื่อลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการจัดงานไมซ์ทั่วประเทศ

     4. ก้าวไกลด้วยแบรนด์ไมซ์ไทยในเวทีโลก มุ่งเน้นการบูรณาการการสื่อสารประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์อุตสาหกรรมไมซ์ทั้งในและต่างประเทศผ่านทุกช่องทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อสังคมออนไลน์ในยุคดิจิทัล-นิวนอร์มัล ส่งเสริมตัวแทนการตลาดทั้ง 7 ประเทศในการเป็นด่านหน้าที่จะสื่อสารข้อมูลไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทำกิจกรรมการสื่อสารและการตลาดเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นสู่ความเป็นที่หนึ่งในใจ (Top of Mind) ของนักเดินทางไมซ์ว่าประเทศไทยมีความพร้อมรองรับการจัดงานได้ทันที ตลอดจนการดําเนินงานเชิงรุกผ่านแคมเปญการตลาดและการสื่อสาร เพื่อกระตุ้นและดึงดูดให้นักเดินทางไมซ์ต่างชาติเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายของการทํากิจกรรมไมซ์ 

     นอกจากนี้ ทีเส็บยยังได้ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมการจัดประชุม ร่วมจัดนิทรรศการ “ภูมิไทยเส้นทางทรงคุณค่าของอุตสาหกรรมไมซ์” เพื่อสร้างการรับรู้เรื่องจุดกำเนิดของไมซ์ไทย สร้างแรงบันดาลใจและก่อให้เกิดความภาคภูมิใจของคนในอุตสาหกรรมไมซ์ไทย โดยสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน ถึง 5 พฤษภาคม 2565 ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 อาคารหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 


 

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2565

DITP เตรียมอวดสินค้า BCG ไทย งาน The Marché by STYLE Bangkok 2022 พฤษภาคมนี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

DITP เตรียมอวดสินค้า BCG ไทย  งาน The Marché by STYLE Bangkok 2022 พฤษภาคมนี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ 

            กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (DITP) แถลงเตรียมพร้อมจัดงานแสดงสินค้า The Marché by STYLE Bangkok 2022  โชว์ผลิตภัณฑ์แนวรักษ์โลกใหม่ล่าสุดตอบรับกระแสโลก พร้อมกิจกรรมเสวนาและไลฟ์สดโชว์สินค้าแบบออนไลน์ นำเสนอโปรโมชั่นพิเศษสุดปังประจำปี กระตุ้นยอดส่งออก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤติโควิด-19 โดยจะจัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 18-22 พฤษภาคม 2565 นี้    ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมจัดกิจกรรมคู่ขนาน BCG Symposium ด้วยความร่วมมือของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีของเขตเศรษฐกิจเอเปคสำหรับ Micro SMEs ที่มีนวัตกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์                                                                                                                                                                                                                นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เป็นประธานในงานแถลงข่าวการจัดงานแสดงสินค้า The Marché by STYLE Bangkok 2022 โดยมี ผู้บริหารกรมฯ ตลอดจนสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยและกลุ่มเซ็นทรัล มาร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงกัน ที่โรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2565

              นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)  กล่าวว่า การจัดงานแสดงสินค้า The Marché by STYLE Bangkok 2022 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นและขับเคลื่อนการส่งออกของประเทศ ผลักดันให้สินค้าไลฟ์สไตล์ และแฟชั่นไทยขยายส่วนแบ่งตลาด ทั้งรักษาและขยายตลาดเดิม ขยายตลาดใหม่ และฟื้นฟูตลาดเก่าที่หายไป 

             ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกได้พบปะสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ และเจรจาการค้ากับนักธุรกิจ ผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่ายจากต่างประเทศและในประเทศ ทั้งแบบออนไซต์ในงานแสดงสินค้า และจับคู่เจรจาการค้าผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Business Matching : OBM) ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เลือกซื้อสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นจากผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์กลุ่ม BCG  หรือสินค้ารักษ์โลกที่สอดคล้องกับเทรนด์โลกในปัจจุบัน รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุค New Normal

                 ภายในงานแถลงข่าว ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “สัมผัสแห่งสุนทรีย์ในโลกวิถีใหม่...ที่ผู้คนห่วงใยสิ่งแวดล้อม และใส่ใจชีวิตมากยิ่งกว่าเดิม” ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรที่เป็นผู้นำในแวดวงผลิตภัณฑ์ BCG ไทย จากวิทยากรได้แก่ คุณทศพล ศุภเมธีกูลวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นิว อาไรวา จำกัด  คุณโกสินทร์ วิระพรสวรรค์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท แปลน ทอยส์ และคุณท็อป - พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ อย่างยั่งยืนและผู้ก่อตั้ง ECOLIFE Application พร้อมแสดงแฟชั่นโชว์นำโดย “ภณ ณวัสน์ ภู่พันธัชสีห์” ดารา/นายแบบสุดฮอต

              โครงการส่งเสริมการตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น The Marché by STYLE Bangkok จัดขึ้นครั้งแรกในเดือนตุลาคมปี 2564 ทดแทนการจัดงาน STYLE Bangkok 2021 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มสินค้าไลฟ์ไสตล์และแฟชั่นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ยังคงสามารถเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ 

               ส่วนงาน The Marché by STYLE Bangkok 2022 ในระหว่างวันที่ 18-22 พฤษภาคม 2565 นี้    ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ จะจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Global Trends, Your Styles :  เทรนด์ใหม่ของโลก สไตล์ของคุณ” เพื่อแสดงศักยภาพผู้ประกอบการ BCG ไทย ในฐานะผู้ผลิตสินค้า คุณภาพที่ตอบโจทย์ตลาดและสอดรับกับเทรนด์โลก ภายในงานจะจัดแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นรักษ์โลกโดยผู้ส่งออกจำนวน 150 ราย จากกลุ่มสินค้า Fashion & Leather, Furniture, Gifts & Premiums, Houseware, Home Décor และ Wellness บนพื้นที่ 1,200 ตารางเมตร ณ บริเวณชั้น 1 และชั้น 2 โซน Eden 1-2, Dazzle และ Beacon 2-3 และ 4 สินค้า BCG ที่นำมาจัดแสดงล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือมีกระบวนการผลิตที่เกิดของเสียน้อยที่สุด เป็นสินค้าสีเขียว ที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับความ ต้องการของตลาดโลกยุค New Normal

                                                                                                                                                                                    นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดี DITP ยังกล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา DITP ได้ปรับและพัฒนากลยุทธ์เพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการ และผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการผลักดันส่งเสริมสินค้าและตลาด BCG หรือ Bio-Circular-Green ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ โดยกรมฯ ได้ขานรับนโยบายซึ่งริเริ่มโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการตอบสนองความต้องการของตลาดในกลุ่มผู้บริโภครักษ์โลก

                 การจัดงานแสดงสินค้า The Marché by STYLE Bangkok 2022 แบบออนไซต์ที่มีมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะประกอบด้วยกิจกรรมพิเศษหลากหลาย ได้แก่ Exhibitor Talk  ในหัวข้อ “การต่อยอดสินค้าด้วยแนวคิด BCG” และกิจกรรม MC Tour เจาะสินค้าที่น่าสนใจภายในงาน พร้อมกับการไลฟ์ (Live Streaming) ทาง Facebook : STYLE Bangkok Fair ทุกวันของการจัดงานอีกด้วย

                                                                                                                                                                                   งานในครั้งนี้มาพร้อมกับการจัดเจรจาการค้าระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ซื้อจากทั่วโลกผ่าน Online Business Matching หรือ OBM ระหว่างวันที่ 18-20 พฤษภาคม 2565 สำหรับนักช้อป เตรียมพบกับกิจกรรม Price Off และ Pro Reward โปรโมชั่นส่วนลดจากผู้ประกอบการเมื่อซื้อสินค้าภายในงาน และรับคูปองสมนาคุณ สำหรับซื้อสินค้าภายในงานมูลค่า 200 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 5,000 บาท (จำกัด 100 สิทธิ์ต่อวัน) รวมถึงโปรโมชั่นพิเศษในการบริการจัดส่งร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด                                                                                                                                                                                                              
           The Marché by STYLE Bangkok 2022 จะเป็นอีกโครงการที่จะช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการประชาสัมพันธ์สินค้าและขยายช่องทางการตลาดในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรม เป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์และศักยภาพสินค้าไทย โดยเป็นงานที่รวบรวมสินค้า BCG ไว้ได้มากที่สุดงานหนึ่งของปี คาดการณ์มูลค่าการค้าทันทีและยอดสั่งซื้อภายในระยะเวลา 1 ปี ประมาณ 70 ล้านบาท


          The Marché by STYLE Bangkok จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-22 พฤษภาคมนี้ ผู้สนใจสามารถเข้าชมงานแสดงสินค้าที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.stylebangkokfair.com Facebook และ Instagram Style Bangkok Fair หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                              

                                                                                                                 

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2565

“เมดีซ กรุ๊ป” ผู้นำด้าน “BIOlongevity Technology” ดึง 3 แพทย์-นักวิจัยระดับโลกร่วมเสวนาในหัวข้อ “BIOlongevity: ชีวิตยืนยาว 120 ปีที่เป็นจริงได้”

“เมดีซ กรุ๊ป” ผู้นำด้าน “BIOlongevity Technology” ดึง 3 แพทย์-นักวิจัยระดับโลกร่วมเสวนาในหัวข้อ “BIOlongevity: ชีวิตยืนยาว 120 ปีที่เป็นจริงได้”

            บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านสถาบันการฝากเก็บ คัดแยก เพาะเลี้ยง และวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดแบบครบวงจร พร้อมรางวัลการันตีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก ประกาศพันธกิจใหม่ในการเป็น “แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเชี่ยวชาญระดับ State-of-the-Art BIOlongevity” พร้อมเปิดเวทีเสวนาพิเศษภายใต้หัวข้อ “BIOlongevity: ชีวิตยืนยาว 120 ปีที่เป็นจริงได้” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ และเปิดมุมมองให้องค์กร สังคมโดยรวม และคนไทย ก้าวทันไปกับปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งในปัจุบันและที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยที่นวัตกรรมและความก้าวหน้าด้านสเต็มเซลล์จะเข้ามาเป็นมากกว่า ทางเลือกในการฟื้นฟูสภาวะความเสื่อมของร่างกายมนุษย์ และจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการมอบชีวิตที่ยืนยาวที่มีสุขภาพดีให้แก่ผู้คน โดยทีมผู้บริหารจากบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด นำโดย นายแพทย์  วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานกรรมการบริหาร แพทย์ชาวไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับเกียรตินิยมในสาขาการจัดตั้งธนาคารฝากเก็บเนื้อเยื่อและการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ จากมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ ร่วมด้วย รศ. ดร. รังสรรค์ พาลพ่าย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานที่ปรึกษา เจ้าของรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติปี 2564 จากผลงาน วิจัย “โคลนนิ่งสัตว์” และ ดร. ฌีวาตรา ตาลชัย กรรมการอิสระ เจ้าของรางวัลนักวิจัยรุ่นใหม่ดีเด่น จากสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งสหรัฐอเมริกา โดยงานเสวนาจัดขึ้นท่ามกลางผู้สนใจ   ตัวแทนบุคลากรในวงการสเต็มเซลล์ และสื่อมวลชน ร่วมเข้าฟังภายใต้มาตรการเฝ้าระวังโรคโควิด -19 อย่างเคร่งครัด ณ ห้องแถลงข่าว GlowFish Sathorn ถนนสาทรเหนือ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565

         โดยภายในงานยังได้เปิดตัวภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ภายใต้คอนเซปต์ “เลือกพรุ่งนี้ ที่ดีกว่า” (Live A Better Tomorrow) ออกอากาศทางสื่อออนไลน์ทั่วประเทศแล้วตั้งแต่วันนี้ เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์และศักยภาพอันแข็งแกร่งของเมดีซ กรุ๊ป ในการมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับเวิลด์คลาสอย่างเป็นรูปธรรม

         นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด แพทย์ชาวไทยที่ได้รับเกียรตินิยมในสาขาการจัดตั้งธนาคารฝากเก็บเนื้อเยื่อและการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจากมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ และหนึ่งในคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ American Board of Anti-Aging Medicine (ABAARM) และ American Board Certified in Fellowship in Stem Cell Therapies, American Academy of Anti-Ageing Medicine เปิดเผยว่า “ผู้คนในโลกปัจจุบันกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากวิกฤติด้านสุขภาวะที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม มลพิษ จำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบมายาวนานมากกว่า 2 ปี เมดีซ กรุ๊ป ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในทั่วโลก และได้ดำเนินธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่องมาถึง 12 ปี เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนด้านสุขภาพให้กับคนทั่วโลก เราจึงมุ่งมั่นนำเสนอทางเลือกใหม่ที่จะทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตอันยืนยาวและใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิมได้ ผ่านพันธกิจใหม่ของเราในฐานะ "แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในอาเซียนที่มีความเชี่ยวชาญระดับ State-of-the-Art BIOlongevity" ที่ครบวงจรที่สุด

      โดยคำว่า "BIOlongevity" ก็คือวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ที่จะช่วยปูทางไปสู่การมีอายุขัยถึง 120 ปีได้ของมนุษย์ ทั้งนี้ในวงการแพทย์มีข้อมูลที่แพร่หลายจากการวิจัยมากมายว่า มนุษย์เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 120 ปี ด้วยการวิเคราะห์ผลตรวจนับเม็ดเลือดของประชากรในวัยที่ต่างกันเพื่อดูสัดส่วนระหว่างเม็ดเลือดขาวสองชนิด กับความแตกต่างของขนาดเม็ดเลือดแดงที่ร่างกายผลิตออกมา โดยเมื่อคนเรายิ่งมีอายุมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทั้งปริมาณและขนาดของเม็ดเลือดสองประการนี้ก็จะยิ่งปรากฏชัดขึ้น เห็นได้จากการเสื่อมสภาวะของเซลล์ร่างกาย เช่น การมีผมหงอก เป็นโรคไขข้อ หรือมีผิวหนังที่เหี่ยวย่นลง โดยข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือดดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่เรียกว่า Biomarker ที่สามารถบอกได้ถึงระดับความชราหรืออายุทางชีวภาพ (Biological Age) ที่แท้จริงของคนเรา โดยมีการนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างเป็นแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาค่าบ่งชี้สภาพของสิ่งมีชีวิตแบบมีพลวัต (DOSI) ซึ่งตัวเลขนี้จะแสดงถึงความสามารถของมนุษย์ในการฟื้นตัวจากภาวะป่วยไข้หรืออาการบาดเจ็บ โดยผลการคำนวณปรากฏว่า ความสามารถในการฟื้นตัวจากสภาวะร่างกายเสื่อมของมนุษย์จะหมดไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงอายุประมาณ 120 ปี

          “สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะเป็นเซลล์ที่มีคุณสมบัติพิเศษและแตกต่างจากเซลล์ทั่วไปอยู่ 3 ประการ คือ 1. เป็นเซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่จำเพาะใดๆ  2. เป็นเซลล์ที่แบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างไม่จำกัด และ 3. สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์สมอง เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือด ฯลฯ 

          ในปัจจุบัน จึงมีการเก็บสเต็มเซลล์แช่แข็งเอาไว้เพื่อใช้ในอนาคตหากจำเป็น โดยในการเก็บสเต็มเซลล์ เราสามารถเก็บได้ทั้งจากเด็กแรกเกิดคือจากเลือดในสายสะดือและเนื้อเยื่อสายสะดือ และจากผู้ใหญ่ทุกอายุคือจากเนื้อเยื่อไขมันหรือไขกระดูก ทั้งนี้ ความก้าวหน้าในด้านวิจัยและพัฒนาด้านสเต็มเซลล์ในปัจจุบันได้รุดหน้าไปไกลอย่างรวดเร็ว นวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการประยุกต์ใช้สเต็มเซลล์เพื่อรองรับการรักษาให้สัมฤทธิ์ผลได้จริงนั้น เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยหนึ่งในศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับและเริ่มมีการใช้งานในวงกว้างมากขึ้นได้แก่ เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenerative Medicine) ซึ่งเน้นการใช้งานเซลล์ต้นกำเนิดที่มีคุณสมบัติในการแบ่งเซลล์และเปลี่ยนแปลงไปทดแทนเนื้อเยื่อต่างๆ ที่เสื่อมลงของร่างกายเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น เช่น ข้อเข่าหรือข้อสะโพกเสื่อม รวมถึงการเสริมความอ่อนเยาว์ให้กับร่างกาย เช่น การลดริ้วรอยของผิวพรรณ การสร้างเส้นผมใหม่ ไปจนถึงการเพิ่มจำนวนเซลล์ป้องกัน อย่างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK Cell (Natural Killer Cell) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง ซึ่งวิทยาการเหล่านี้ เมื่อได้รับแรงส่งจาก ‘BIOlongevity Technology’ ที่ล้ำหน้าที่สุดจากเมดีซ กรุ๊ป อันประกอบด้วย ทีมนักวิทยาศาสตร์และบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิ กระบวนการตรวจสอบคุณภาพเซลล์อันเข้มงวด ฝ่ายวิจัยและพัฒนาอันแข็งแกร่ง เครือข่ายแพทย์ นักวิจัยและบุคลากรชั้นนำในวงการเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ไปจนถึงห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อระดับคลีนรูมคลาส 100 ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และพรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีอันทันสมัยที่สุดในวงการธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์ เมดีซ กรุ๊ป จึงมั่นใจว่าภารกิจในการสร้างชีวิตที่ยืนยาวหรือ Longevity ให้กับผู้คน จะไม่เป็นเพียง ‘ความหวัง’ ในอนาคตอีกต่อไป แต่จะสามารถเป็น ‘อีกทางเลือก’  ที่ทุกคนสามารถมีได้ เพื่อยืดเวลาแห่งความสุขในการใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก และเพื่อสานต่อความฝันต่างๆ ที่ยังอยากทำต่อไปให้สำเร็จเป็นจริงได้”

            ด้าน รศ. ดร. รังสรรค์ พาลพ่าย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานที่ปรึกษา บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติปี 2564 จากผลงานวิจัย “โคลนนิ่งสัตว์” โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และผู้ก่อตั้งชมรมสเต็มเซลล์แห่งประเทศไทย กล่าวเสริม “จากข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีธุรกิจที่จดทะเบียนการวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทยอยู่ทั้งสิ้น 84 กิจการ1 (ข้อมูลล่าสุด: มีนาคม 2565) โดยมีถึง 64 กิจการที่มีการจดทะเบียนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลก ส่งผลให้เทคโนโลยีชีวภาพก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นด้วยการรักษาด้วยเซลล์บำบัดจากสเต็มเซลล์ โดยเน้นไปที่การฟื้นฟูเซลล์ปอดของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ซึ่งมีงานวิจัยมากกว่า 70 งานวิจัยที่กำลังศึกษาถึงการใช้งานของสเต็มเซลล์ในผู้ป่วยโควิด-19 แต่กระแสการใช้งานของสเต็มเซลล์นั้นได้เป็นที่สนใจมาก่อนหน้านี้แล้ว ที่จำกัดอยู่เฉพาะผู้ป่วยโรคเลือดหรือเฉพาะในธุรกิจความงาม

      ในส่วนของนวัตกรรมและความก้าวหน้าของงานวิจัยสเต็มเซลล์ ในประเทศไทยถือได้ว่าเราไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด ถือเป็นสถาบันผู้บุกเบิกเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นในด้านนวัตกรรมด้านการฝากเก็บ คัดแยกและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์แบบครบวงจร และเปิดให้บริการมากว่า 12 ปี

         นอกจากนี้ เมดีซ ยังเป็นบริษัทแรกในโลกที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ในด้านการตรวจทดสอบศักยภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพื่อดูความแข็งแรงและความสามารถในการฆ่ามะเร็ง ในด้านวิจัยและพัฒนา เมดีซมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งด้วยศูนย์ R&D ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้ใหม่ที่จะสามารถนำไปประยุกต์และพัฒนาการบริการใหม่อันมีนวัตกรรมที่ล้ำหน้าสูงสุดอยู่เสมอ โดยในปัจจุบัน เมดีซ มีการพัฒนาโครงการต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานชั้นนำระดับประเทศมากมายเพื่อต่อยอดการใช้งานสเต็มเซลล์ในวงการแพทย์ไทย อาทิ การสร้างกระจกตาเทียมจากสเต็มเซลล์ของมนุษย์ลงบนโครงสร้างคอลลาเจน โดยทดลองร่วมกับคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเพิ่มความจำเพาะของ NK Cell ผ่านการดัดแปลงตัวรับของเซลล์ ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ การพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงเซลล์รากผมและจัดเก็บเซลล์ในระยะยาวสำหรับคนผมบาง และการนำเซลล์ที่จัดเก็บไปใช้ในคนจริงๆ เช่น นำเซลล์ไขมันที่จัดเก็บไปใช้รักษาภาวะข้อเข่าเสื่อม โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการต่อยอดงานวิจัยด้านสเต็มเซลล์เหล่านี้เป็นการตอกย้ำความก้าวหน้าในด้าน "BIOlongevity" ของเมดีซ กรุ๊ป ในการมอบชีวิตที่ยืนยาวแก่ทุกคนให้เป็นจริงได้ในอนาคต

        ส่วน ดร. ฌีวาตรา ตาลชัย กรรมการอิสระ บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของรางวัลนักวิจัยรุ่นใหม่ดีเด่นจากสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งสหรัฐอเมริกา และผู้เป็นร่วมประดิษฐ์สิทธิบัตรการใช้สเต็มเซลล์ลำไส้ผลิตอินซูลินเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตอกย้ำความมั่นใจแบรนด์เมดีซ ด้วยรางวัลการันตีคุณภาพระดับโลก “เมดีซ กรุ๊ป มียอดรวมจำนวนการเก็บสเต็มเซลล์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียนและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในทั่วโลก" เพราะทุกกระบวนการตั้งแต่การฝากเก็บ จนถึงการเพาะเลี้ยงเซลล์ ถูกคิดขึ้นจากงานวิจัยที่ได้รับการรับรองจากสถาบันระดับโลกมากมาย เราพิถีพิถันในทุกรายละเอียดจนได้รับรางวัลการันตีคุณภาพจากเวทีระดับสากล อาทิ รางวัลยอดเยี่ยมต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อนจาก Frost & Sullivan ในฐานะธนาคารสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย (Thailand’s Stem Cell Banking Company of the Year) รางวัล World Branding Awards โดย World Branding Forum รางวัลระดับอนุภูมิภาค South East Asia Stem Cell Banking Technology Innovation Leadership Award และล่าสุด เรายังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสถาบัน นั่นคือ The American Association of Blood Banks (AABB) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองและกำหนดมาตรฐานแนวทางการดำเนินงานของธนาคารสเต็มเซลล์ที่เข้มงวดที่สุดในโลก โดยเป็นมาตรฐานคุณภาพที่ครอบคลุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเลือดจากสายสะดือทั้งกระบวนการดำเนินการตั้งแต่การจัดเก็บในระยะยาว ไปจนถึงการกระจายขนส่งเพื่อรองรับการรักษาให้กับผู้ป่วยในทั่วโลก

         นอกจากนี้ภายในงาน เมดีซ กรุ๊ป ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “เลือกพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” (Live A Better Tomorrow) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมีทางเลือก ของผู้คนในการมีสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาวขึ้น เพื่อสานต่อความฝันและภารกิจต่างๆ ในชีวิตที่ยังอยากทำให้สำเร็จเป็นจริงได้ โดยภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ดังกล่าวจะเริ่มออกอากาศทางสื่อออนไลน์ทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสามารถรับชมวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/WLE0kFM6VwY

         “ในฐานะหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลท่ามกลางเศรษฐกิจกระแสใหม่ (New Economy) และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ความสำเร็จของเราสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการช่วยผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมด้าน สเต็มเซลล์ของไทยให้ก้าวสู่ระดับเวิลด์คลาสได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยเราได้รับความเชื่อมั่นจากนานาประเทศในด้านคุณภาพซึ่งตรงตามมาตรฐานสากลและจริยธรรมทางการแพทย์ ดังนั้นการนำสเต็มเซลล์ที่ผ่านการดูแลโดยเมดีซ กรุ๊ป ไปใช้รองรับการรักษาในอนาคต ย่อมยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้า ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องตอกย้ำถึงภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของเมดีซ กรุ๊ป ในการเป็น แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเชี่ยวชาญในระดับ State-of-the-Art BIOlongevity Technology” 

        สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.medezegroup.com 

 

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2565

บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก คว้ารางวัลศูนย์ทันตกรรมยอดเยี่ยมใน ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 2 ปีซ้อน

บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก คว้ารางวัลศูนย์ทันต

กรรมยอดเยี่ยมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 2 ปี

ซ้อน

ประเทศไทยนอกจากเป็นที่ยอมรับในการเป็นฮับของการดูแลสุขภาพในระดับสากลแล้ว ทางด้านทันตกรรมก็ยืนหนึ่งไม่แพ้กัน อย่างที่ คลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (Dental Wellness Clinic, BDMS Wellness Clinic) ที่ได้รางวัล Dental Medical Centre of the Year in  the Asia Pacific 2021 โดยได้รับรางวัลดังกล่าวสองปีซ้อนจาก Global Health Asia - Pacific นิตยสารชั้นนำด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสุขภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ยังคงรองรับผู้รับบริการอย่างต่อเนื่อง เพราะนโยบายที่ถือเอาคนไข้เป็นศูนย์กลาง โดยสถานที่และวัสดุอุปกรณ์ทุกชิ้นต้องสะอาด ปลอดภัย ตั้งแต่ระบบน้ำที่ใช้ระบบอาร์โอ ห้องทันตกรรมทุกห้องมีระบบฟอกอากาศ มีการฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีก่อนรับคนไข้รายต่อไป เป็นต้น สร้างความปลอดภัยทั้งกับผู้รับบริการ ทันตแพทย์ และสิ่งแวดล้อม ให้มั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาใช้บริการ

ทันตกรรมเชิงป้องกัน” เพื่อฟันที่ดีมีคุณภาพระยะยาว

                ทพญ.วลัยลักษณ์ เกียรติธนากร ผู้อำนวยการคลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวว่า คลินิกแห่งนี้เป็นคลินิกทันตกรรมเชิงป้องกัน (Preventive Dentistry) ดูแลทั้งคนไข้ที่มีปัญหาและไม่มีปัญหาสุขภาพฟันแบบองค์รวม โดยทันตแพทย์เฉพาะสาขาเพื่อช่วยให้การเคี้ยวอาหารเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ทำให้สุขภาพกายดีควบคู่กัน อีกทั้งยังเน้นเรื่องความสวยงาม เพราะการมีฟันสวย มีรอยยิ้มที่สวยงามและเหมาะกับใบหน้าของแต่ละคน จะทำให้มั่นใจมากขึ้น โดยมีเป้าหมายกระตุ้นให้ทุกคนหันมาดูแลตนเองก่อนเพื่อจะมีสุขภาพที่ดี มีชีวิตที่ยืนยาวภายใต้แนวคิด Live Longer Healthier and Happier

ที่คลินิกไม่ได้รักษาโรคฟันอย่างเดียว แต่ดูแลให้ฟันมีสุขภาพที่ดีด้วย อยากให้ทุกคนเข้ามาตรวจมาปรึกษาเพื่อให้มีสุขภาพฟันที่ดี ที่นี่จะเน้นการตรวจและวางแผนรักษาแบบ Personalized เฉพาะบุคคล เพราะแต่ละคนมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน บางคนชอบกินของหวาน บางคนชอบกินของเปรี้ยว เหล่านี้ล้วนมีผลต่อฟันทั้งสิ้น หรือคนไข้ที่มีโรค เช่น นอนกรน เราจะรักษาโรคให้มีความนิ่งแล้วจึงวางแผนการดูแลฟันให้มีความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน

ทันตกรรมดิจิทัลแบบครบวงจร

จุดเด่นของคลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก คือเป็นคลินิกทันตกรรมดิจิทัล ที่ครบครันด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งแต่ Intra - Oral camera ถ่ายภาพในช่องปาก Intra – Oral Scanner สแกนภาพเป็น 3 มิติ เพื่อตรวจหาที่มาของปัญหาในช่องปาก แสดงให้กับคนไข้เพื่อการสื่อสารอย่างชัดเจน การใช้ Cad/Cam Technology เช่น ในกรณีของการทำ ครอบฟัน” (Crown) ออกแบบการรักษาผ่านจอคอมพิวเตอร์ ให้คนไข้ได้เห็นภาพของฟันและรอยยิ้มทั้ง ก่อน” และ หลัง” เพื่อตัดสินสิ่งที่ดีที่สุดกับตนเองก่อนดำเนินการจริง โดยใช้เวลาตลอดทั้งกระบวนการภายในวันเดียวเรียกว่า วันเดย์ โซลูชัน” (One - Day Solution) ากเดิมใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์

หรือกรณีของการทำ รากฟันเทียม” (implants)  เพื่อให้ทุกอย่างพอดีและลงตัวที่สุด จะใช้เครื่อง Dental CT Scan ที่สแกนโครงสร้างภายในปากและภาพจากเครื่อง Intra - Oral Scanner มาซ้อนทับ วางแผนออกแบบบนคอมพิวเตอร์ และพริ้นต์ออกมาเป็นไกด์ไปวางในปากเพื่อกำหนดปักรากเทียมบนขากรรไกรได้ตรงจุด รวมทั้งในการจัดฟันแบบใส (Invisalign) ที่มีการทำ Clinical Check ให้คนไข้เห็นกระบวนการจัดฟันตั้งแต่ในสัปดาห์แรกจนเสร็จสิ้นทีละขั้นตอน เพราะการจัดฟันไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่ต้องตอบโจทย์ทั้งสามปัจจัยคือ การบดเคี้ยวที่ไม่ราบเรียบ ความสะอาด และความสวยงาม ทำให้คนไข้ยิ้มได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

สมายดีไซน์ ออกแบบรอยยิ้มสวยที่สุดในแบบของคุณ

เพราะ รอยยิ้ม” ไม่ได้หมายถึงความสวยงามเพียงอย่างเดียว การยิ้มอย่างมั่นใจยังสร้างบุคลิกภาพที่ดี ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า รอยยิ้มของคุณคือความสุขของเรา” (Your Smile is Our Passion) คลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ให้ความสำคัญเรื่องของ สมาย ดีไซน์” (Smile Design) ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Personalized Smile Design เพื่อถ่ายภาพคนไข้ขณะยิ้มและออกแบบรอยยิ้มใหม่ในกรณีที่คนไข้รู้สึกไม่มั่นใจในรอยยิ้มของตนเอง รวมทั้งมีการทำม็อคอัพ จำลองให้เห็นภาพ และเลือกแบบของการยิ้มในมุมที่สวยถูกใจที่สุด ก่อนดำเนินการ เช่นเดียวกับการทำ วีเนียร์” (Veneer) หรือเคลือบฟันเทียมที่เป็นการแก้ไขผิวหน้าฟัน โดยสามารถเลือกทั้งรูปทรงและสีของฟันได้ ตอบโจทย์เรื่องของบุคลิกภาพอย่างแท้จริง

วันเดย์ โซลูชัน” ตอบโจทย์ชีวิตยุค 5G

ทพ.กิตติพงศ์ บูรณะโสภณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการคลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวว่า วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่เร่งรีบ ประกอบกับการเฝ้าระวังโควิด-19 ทำให้คนจำนวนมากกังวลกับการไปทำฟันที่คลินิก อยากทำฟันให้เสร็จเร็วในจำนวนครั้งที่น้อยที่สุด ครอบฟันที่ปกติใช้เวลาประมาณ 7 วัน โดยที่คนไข้จะต้องมีครอบฟันแบบชั่วคราวอยู่ในปาก ฉะนั้นยิ่งสามารถลดเวลาทำฟันลงได้เร็วแค่ไหนยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น บริการแบบ วันเดย์ โซลูชัน” จึงเข้ามาตอบโจทย์ผู้รับบริการที่มีเวลาน้อย ต้องการแก้ปัญหาในช่องปากอย่างรวดเร็ว รวมทั้งชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาใช้บริการทันตกรรม

ทั้งนี้ วันเดย์ โซลูชัน” ครอบคลุมถึงการบริการ อุดฟัน ซึ่งปกติจะใช้อมัลกัม (Amalgam) วัสดุสีเงินเป็นโลหะเจือกับปรอทใช้ในการอุดฟัน ซึ่งเป็น Direct Method ทำกับการอุดฟันใหญ่ๆ ได้ยากและใช้เวลานาน การใช้ Onlays/Inlays ซึ่งเป็น Indirect Method คือทำชิ้นงานให้เสร็จก่อนจึงนำเข้าไปติดในโพรงฟัน จึงเป็นการแก้ปัญหาวัสดุอุดขนาดใหญ่และสามารถใช้งานได้ในทันที

         บริการครอบฟัน (Crown) เช่น ในกรณีที่ฟันแตกหักมา หรือมีการรักษารากฟันมาแล้ว หมดกังวลเมื่อเข้ามาใช้บริการ สามารถได้ฟันสวยกลับไปภายในวันเดียว รวมทั้งการทำ วีเนียร์ ที่มีกระบวนการมากมายตั้งแต่การกรอหน้าฟันเพื่อติดวีเนียร์ที่มีทั้งใช้วัสดุชนิดลามิเนตและเซรามิกแปะลงบนผิวของฟัน ซึ่งแต่เดิมการติดวีเนียร์แบบชั่วคราว ถ้าไม่ต้องการให้หลุดก็ต้องยึดให้ดี ทำให้แกะออกยาก วันเดย์ โซลูชัน” โดยใช้ Intra - Oral Scanner สแกนถ่ายภาพภายในช่องปาก เป็นดิจิทัลไฟล์ไปดีไซน์ชิ้นงานบนจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะสั่งพริ้นต์หรือกลึงแบบได้ออกมาเป็นชิ้นงาน ติดฟันคนไข้ได้เลยภายใน 1 วัน ทำให้สวยได้ในชั่วข้ามคืน

สำหรับคนไข้ที่กลัวการทำฟัน (Dental Phobia) คลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก มีเทคนิคการทำ Sleep Dentistry ช่วยลดการรับรู้ของคนไข้ขณะทำทันตกรรม โดยทีมวิสัญญีแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลกรุงเทพ นอกจากนี้ยังสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในการทำฟัน ร่วมกับอโรมาเทอราพีกลิ่นสปา ออกแบบห้องทันตกรรมให้เหมือนอยู่ในห้องส่วนตัว มีจอพลาสมาบนเพดานสามารถดูได้ขณะนอนบนเตียงทำฟัน สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนดูรายการโปรดได้ เพื่อให้การพบทันตแพทย์เป็นอีกเรื่องดีๆ และเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะสุขอนามัยช่องปากที่ดีที่สุดและรอยยิ้มที่สวยงามมีความสำคัญในทุกช่วงวัย

BDMS Wellness Clinic มุ่งมั่นพัฒนาและวิจัยเรื่องสุขภาพ เพื่อมอบเป็นของขวัญแก่คนไทยทุกคน เพราะสุขภาพที่ดี คือของขวัญที่ดีที่สุด  Live longer, Healthier and Happier

                สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ไลน์: @bdmswellnessclinic or https://lin.ee/rdIDv1เว็บไซต์ www.bdmswellness.com , https://www.bwcdentalclinic.com/

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2565

นกแอร์ สธทท. และ ททท. รับประกัน 29 เมษายน 2565 เส้นทางบินตรงกรุงเทพฯ – เบตง บินแน่นอน

นกแอร์ สธทท. และ ททท. รับประกัน 29 เมษายน 2565 เส้นทางบินตรงกรุงเทพฯ – เบตง  บินแน่นอน 


เบตง เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดยะลา ใต้สุดแดนสยาม ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน มี จุดชมทะเลหมอกสวยงามหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นจุดชมทะเลหมอก 360องศา ที่สกายวอล์ค อัยเยอร์เวง ที่กำลังนิยมมากที่สุดในขณะนี้ จุดชมทะเลหมอกยอดเขาฆูนุงซิลิปัต ทะเลหมอกไต๋ต๋ง และทะเลหมอกสองแผ่นดินบ้านกาแป๊ะฮูลู และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย ได้แก่ สวนหมื่นบุปผาหรือสวนไม้ดอกเมืองหนาว บ่อน้ำร้อนเบตง อุโมงปิยะมิตร  ต้นไม้พันปี ป่าฮาลาบาลาหรืออเมซอนแห่งเอเชีย อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ หอนาฬิกา ตู้ไปรษณ๊ย์ที่ใหญ่ที่สุด พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ วัดพุทธาธิวาส (วัดเบตง) รวมทั้งมีอาหารอร่อยที่ให้ลิ้มลองมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไก่เบตง ผักน้ำ เคาหยก ปลานิลน้ำไหล ปลากือเลาะหรือปลาพลวงสีชมพู นอกจากนี้ยังมีผลไม้ เช่น ส้มโชกุน ทุเรียน ลองกอง เป็นต้น



หลังจากที่ได้มีการบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างสายการบินนกแอร์ กับ สมาคมสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) บริษัท แตงโมทัวร์ จำกัด และบริษัท ซี.ซี.ที. กรุ๊ป เพื่อฟื้นเส้นทางบินตรงกรุงเทพฯ-เบตง (ยะลา) อีกครั้งในรูปแบบเช่าเหมาลำ หรือ ชาร์เตอร์ไฟล์ต โดยมีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นผู้สนับสนุน เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา

                            




วันที่ 11 เมษายน 2565 ณ ห้องประชุม Humming Bird 1 บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน)ได้มีการแถลงข่าวความพร้อมในการเปิดเส้นทางบินตรงกรุงเทพฯ – เบตง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีนายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายธีรพล โชติชนาภิบาล ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) นายวิชิต ประกอบโกศล ประธานบริษัท ซี.ซี.ที. เอ็กซ์เพรส จำกัด และนายธนพล ชีวรัตนพร ประธานบริษัท แตงโมทัวร์ คุณภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.  และพลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) โดยมีแขกผู้มีเกียรติ อาทิ คุณสรพงศ์  ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม  พลตรี ฐิตวัชร์ เสถียรทิพย์ หัวน้าศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี คุณจาตุรนต์ ภักดีวานิช รองอธิบดีกรมท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.สุเทพ อารมณ์รักษ์ ประธานภาค สธทท. และคุณโสดารินทร์ ธนเนืองโรจน์ รองประธานภาค สธทท.  ท่ามกลางสื่อมวลชนร่วมงานจำนวนมาก

 นายกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) กล่าวว่า สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย มีบทบาทสำคัญในเรื่องการทำตลาดให้บรรลุถึงเป้าหมาย ก็ไม่มีความเป็นห่วงอะไร โดยก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางไปเบตง ทาง สธทท. ก็จะมีการพบปะกับกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่ว่า การเปิดเส้นทางท่องเที่ยวครั้งนี้เป็นมิติที่เป็นเชิงบวก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทางพื้นที่ก็ต้องตระหนักเรื่องการทำการท่องเที่ยวในครั้งนี้ “ทำให้เป็นเมืองน่าเที่ยว อย่าให้เป็นเมืองถูกเที่ยว” ต้องทำให้เกิดการท่องเที่ยวให้ได้ ทำยังไงให้เกิดความประทับใจในคุณภาพและการบริการ รวมทั้งเรื่องของความปลอดภัย นักท่องเที่ยวจะได้หวนกลับมาท่องเที่ยวอีก

ด้าน ดร.สุเทพ อารมณ์รักษ์ ประธานภาค สธทท. กล่าวเสริมว่า จริงๆ แล้วถือว่าเป็นความร่วมมือที่ดีสำหรับโครงการนี้ และถือเป็นการเริ่มต้นของเส้นทางที่จะบินในช่วง 3 เดือนแรกก่อน แล้วก็จะมีในเรื่องของการเพิ่มวันเวลาที่อาจจะมีมากขึ้น ถ้าเกิดได้รับความสนใจของนักท่องเที่ยวอย่างล้นหลาม อย่างที่ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. บอกว่า “เป็นคนไทยต้องไปเที่ยวยะลา” แล้วก็สิ่งสำคัญพวกเราในฐานะสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทยก็อยากทำความร่วมมือกับทุกสมาคมในธุรกิจการท่องเที่ยวร่วมกัน ช่วยกันผลัดดันส่งเสริมการตลาดการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ ซึ่งคิดว่าในเส้นทางนี้มีหลายๆ เส้นทางเป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก และยังเป็นของดีที่ทางสมาคมท่องเที่ยวต่างๆ สามารถนำแพ็คเกจนี้ไปขายกันได้ โดยแพ็คเกจมีทั้ง 3 วัน 2 คืน ราคา 9,900 บาท ออกทุกวันศุกร์กลับวันอาทิตย์ และ วันอาทิตย์กลับวันอังคาร เริ่มไฟท์แรกวันที่ 29 เมษายน 2565 และ แพ็คเกจ 4 วัน 3 คืน ราคา 10,900 บาท เริ่มไฟท์แรกวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 สนใจก็สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081-251-2207, 085-065-8144, 062-669-6441 หรือ Call Center 1318 www.nokair.com

ส่วน นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความพร้อมในการเปิดเส้นทางบินกรุงเทพฯ-เบตง ในวันที่ 29 เมษายน 2565 นี้ โดยขอจำแนกเป็นหลายๆ ด้าน คือ ด้านความพร้อมการขอใบอนุญาตการเปิดเส้นทางบินเส้นทางต่างๆ จากสำนักงานการบิน ทางสายการบินนกแอร์ได้ทำการขออนุญาตไปในหลายเส้นทางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางดอนเมือง-เบตง หาดใหญ่-เบตง ภูเก็ต-เบตง เป็นต้น และเราก็ได้ใบอนุญาตมาเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าในส่วนของเฟสแรก เราก็จะทำการบินจากสนามบินดอนเมือง-เบตงก่อน ส่วนในจังหวัดอื่นๆ ที่จะเชื่อมเบตงนั้นจะเป็นเฟสต่อมา นอกจากนี้แล้วเราเองก็ยังมีแผนที่เชื่อมเหนือสุด ใต้สุด ไม่ว่าจะเป็นการบินจากเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แม่ฮ่องสอนไปลงเชียงใหม่ เชียงใหม่ไปลงโคราช โคราชมาหาดใหญ่ หาดใหญ่เข้าเบตง ต่างๆ ล้วนอยู่ในไกด์รายที่ทางสายการบินนกแอร์กำลังศึกษาพิจารณา และจะต้องดำเนินการตรงนี้ให้สำเร็จให้ได้ และด้านความพร้อมทางโอเพอร์เรทเส้นทางดอนเมือง-เบตง ที่มีการจับมือกับภาคเอกชน สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยว ในการที่จะทำตลาดต่างๆ ร่วมกัน ทำการสำรองที่นั่ง แคมเปญต่างๆ ก็เพื่อให้นกแอร์ได้บินได้ตลอดภายใต้การเซ็นสัญญา 3 เดือน อันนี้ก็คือหลักๆ ที่นกแอร์เตรียมพร้อมอยู่

และ คุณภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ ททท. กล่าวว่า ในเรื่องของการเปิดเส้นทางบินของสายการบินนกแอร์ เส้นทางกรุงเทพฯ-เบตงในครั้งนี้ จะเปิดให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ได้แก่ วันอังคาร ศุกร์ และอาทิตย์ โดยตอนนี้นักท่องเที่ยวสามารถจะเดินทางได้ในรูปแบบของแพ็คเกจทัวร์ เป็นแพ็คเกจทัวร์ที่เกิดจากความร่วมมือของสายการบินนกแอร์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และบริษัทนำเที่ยว เป็นแพคเก็จที่ชื่อว่า “เบตง หร่อยแรง แล่งใต้ สไตล์นกแอร์” ในการเดินทางไปยังเบตง แต่ก่อนถ้านักท่องเที่ยวเดินทางต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ตอนนี้ถ้าบินตรงไปเบตงแล้วนี่ จะสามารถเข้าไปสัมผัสประสบการณ์แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของเบตงมากขึ้น คนไทยตอนนี้อาจจะรู้จักเบตงเพียงแค่สกายวอร์คอัยเยอร์เวงที่มีทะเลหมอกที่สวยงาม แต่จริงแล้วเบตงยังมีอีกหลายอย่างให้ได้สัมผัสประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนท่องเที่ยวของหมู่บ้านจุฬาภรณ์ ที่ยังมีการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ได้เข้าทำกิจกรรม มีต้นไม้อายุหลายร้อยปีที่สูงใหญ่มาก สัมผัสธรรมชาติ รวมถึงอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็นไก่เบตง ปลานิลสายน้ำไหล เคาหยก อาหารวัฒนธรรมจีน จริงๆ แล้วเบตงเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่อยู่ภายใต้พื้นที่เดียวกัน ถ้าไปแล้วก็อยากให้ไปสัมผัสดอกไม้เมืองหนาว และที่จังหวัดยะลาก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย ก็ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่สนใจอยากไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่อยากไปเที่ยวทางชายแดนของประเทศไทยได้ไปสัมผัสที่เบตงในแพ็คเกจ “เบตง หร่อยแรง แล่งใต้ สไตล์นกแอร์

 

 

 

ททท. จับมือเซ็นทรัลพัฒนา และยักษ์ใหญ่วงการอาร์ตทอย จัดงาน The World’s Great Celebration 2025

ททท. จับมือเซ็นทรัลพัฒนา และยักษ์ใหญ่วงการอาร์ตทอย  จัดงาน The World’s Great Celebration 2025  เทศกาลแห่งความสุขระดับโลก        เมื่อประเทศไ...