วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ส่งต่อกำลังใจ ยกทัพสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ฯลฯ มอบให้แก่ผู้อพยพ จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ส่งต่อกำลังใจ ยกทัพสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ฯลฯ มอบให้แก่ผู้อพยพ จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 

ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี 

พร้อมมอบเงิน-กระเช้าเยี่ยมเยียนให้แก่คุณแม่พลทหารที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล รวมมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท


       ระหว่างวันที่ 19–22 ธันวาคม พ.ศ.2568 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ ห่วงใยผู้อพยพบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มอบหมายให้คณะกรรมการมูลนิธิฯ นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการฯ พร้อมด้วย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิกฯ จัดทีมแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ฯ นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ฯ ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี มอบสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น อาทิ ที่นอน เสื่อฟอยล์ ผ้าอ้อมเด็ก-ผู้ใหญ่ ของเล่นเด็กเล็ก ขนม สิ่งของเครื่องใช้จำเป็นต่างๆ ฯลฯ ให้แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมี คณะมูลนิธิสว่างจรรยาธรรมสถาน จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นผู้ประสานงานและร่วมดำเนินการ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์, คณะมูลนิธิสุรินทร์สามัคคีกุศลสถานสงเคราะห์ เป็นผู้ประสานงานและร่วมดำเนินการ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์, คณะมูลนิธิศรีสะเกษสงเคราะห์ เป็นผู้ประสานงานและร่วมดำเนินการ เป็นผู้ประสานงานและร่วมดำเนินการ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และคณะมูลนิธิการกุศลอุบลราชธานี เป็นผู้ประสานงานและร่วมดำเนินการ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้ง ได้มอบเงินจำนวน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) พร้อมกระเช้าแก่คุณแม่ของพลทหารภานุพัฒน์ เสาร์สา "พลทหารวุ้น" ที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล รวมมูลค่าดำเนินการในครั้งนี้กว่า 2.5 ล้านบาท โดยมี อาสาสมัครกิตติมศักดิ์มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร โอภาสวงศ์ และ นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ ร่วมลงพื้นที่แจกจ่ายสิ่งของ



      เมื่อเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ ได้เร่งมอบหมายให้คณะกรรมการ นำทีมสาธารณภัยลงพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อมอบสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ให้แก่ผู้อพยพจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากนั้นได้เข้ามอบเงินปลอบขวัญนายละ 10,000 บาท พร้อมกระเช้าสุขภาพ ให้แก่ทหารกล้าและประชาชนที่บาดเจ็บจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ที่พักรักษาตัวอยู่ ณ โรงพยาบาลในขณะนั้น และล่าสุดมูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือกรณีบ้านพังเสียหายทั้งหลังๆ ละ 12,000 บาท รวมงบประมาณที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ส่งต่อธารน้ำใจจากผู้มีจิตศรัทธา สู่ทหารกล้าและประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบันคิดเป็นมูลค่ากว่า 7.9 ล้านบาท ซึ่งมูลนิธิฯ ยังคงติดตามสถานการณ์เพื่อพิจารณาการให้ความช่วยเหลือตามนโยบายการดำเนินงานของแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งต่อไป


      มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สมทบทุนช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ดลบันดาลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญ สุขภาพแข็งแรงตลอดไป และขอส่งกำลังใจให้ทหารกล้า เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครทุกท่านทุกหน่วย ที่ยืนหยัดปกป้องแผ่นดินไทย รวมถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนชายแดนไทย-กัมพูชา ขอให้ทุกท่านปลอดภัย และขอให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ววัน

ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ เฟซบุ๊ก แฟนเพจwww.facebook.com/atpohtecktung หรือดูรายละเอียดช่องทางที่สะดวกได้ที่ https://linktr.ee/pohtecktung

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## 

#ป่อเต็กตึ๊ง ยึดมั่นอุดมการณ์ อยู่เคียงข้างทุกวิกฤต

#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด



วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ทำไมผู้บริโภคยุคนี้ ถูกใจ ‘บ้านซีพีแลนด์’ ?

ทำไมผู้บริโภคยุคนี้ ถูกใจ ‘บ้านซีพีแลนด์’ ?

    จากงานวิจัย TerraHint Brand Series 2025 ระบุว่าความต้องการใหม่ของผู้อยู่อาศัย ไม่ใช่แค่สร้างบ้าน แต่คือสร้างคุณภาพชีวิต   เพราะจากการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 2,000 คนทั่วประเทศ พบว่า คนไทยยุคปัจจุบันเลือกบ้านจาก 3 แกนหลักคือ ความปลอดภัยเชิงโครงสร้าง คุณภาพที่คุ้มค่า และการใช้ชีวิตแบบ Wellbeing มากกว่าความหรูหราเพียงอย่างเดียว

     ในเวทีเดียวกัน บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Top 10 Brand Powerful Score และขยับสถานะจาก “แบรนด์ผู้ท้าชิง” ขึ้นสู่กลุ่ม “แบรนด์เจ้าตลาด (Market Leader Brand) สะท้อนว่าบ้านและโครงการของ CP LAND กำลัง “ตรงใจ” ผู้บริโภคมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

3 จุดต่างที่ทำให้บ้านซีพีแลนด์ถูกใจผู้ซื้อบ้านยุคนี้

1. ปลอดภัยและโปร่งใส ในยุคที่คนกลัวโครงสร้างมากกว่าราคา

หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว งานวิจัยชี้ว่า “โครงสร้างและคุณภาพการก่อสร้าง” กลายเป็นปัจจัยอันดับ 1 ในการเลือกบ้าน และผู้บริโภคให้รางวัลกับแบรนด์ที่สื่อสารเร็ว ชัด และตรงไปตรงมาเรื่องมาตรฐานอาคาร  

CP LAND วางจุดยืนชัดในเรื่อง

• มาตรฐานโครงสร้างและวัสดุที่ตรวจสอบได้

• การออกแบบเน้นความปลอดภัยโดยเฉพาะ Low-rise living

• การดูแลหลังการขายและการรับผิดชอบต่อผู้อยู่อาศัยอย่างใส่ใจ *ด้วยการรับประกัน 10 ปี

2. คุณภาพที่ “เอื้อมถึงได้” ตรงกับงบส่วนใหญ่ของคนไทย

งานวิจัยพบว่า 78% ของผู้ซื้อมองหาโครงการที่ “คุ้มค่า–ไว้ใจได้” มากกว่าความหรูฟุ่มเฟือยอย่างเดียว 

ทำให้ CP LAND แตกต่างจากผู้พัฒนาโครงการอื่นๆ ประกอบด้วย

• โฟกัสโครงการที่อยู่อาศัยและมิกซ์ยูสในระดับราคาที่เข้าถึงได้

• ให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่าในระยะยาว” ทั้งค่าใช้จ่ายดูแลบ้านและคุณภาพชีวิต

• เดินตามวิสัยทัศน์ “Accessible Communities for Life – คุณภาพเพื่อทุกชีวิต” ไม่ได้เน้นเฉพาะตลาดบน

3. ด้านความคุณภาพชีวิตและความยั่งยืน Wellbeing & Sustainable Living ที่เป็นของจริง ไม่ใช่แค่คีย์เวิร์ด

     ผู้ตอบแบบสอบถามนิยาม “Wellness” ว่า คุณภาพชีวิตที่ดี สภาพแวดล้อมดี ความปลอดภัย พื้นที่สีเขียว ความสมดุลของชีวิต และความสัมพันธ์ในครอบครัว/ชุมชน  

     ทิศทางการพัฒนาโครงการของ CP LAND คำนึงถึง

• พื้นที่สีเขียวและพื้นที่ส่วนกลางเพื่อสุขภาพกาย–ใจ

การออกแบบแบบ Universal Design รองรับผู้สูงอายุและทุกช่วงวัย  

• วัสดุประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาโครงการครอบคลุมหลายระดับรายได้

“ทั้งหมดนี้ทำให้ ‘บ้านซีพีแลนด์’ กำลังกลายเป็นคำตอบหลักของผู้ซื้อบ้านยุคปัจจุบันในสายตาผู้บริโภคทั่วประเทศ ด้วยโครงสร้างที่เชื่อมั่นได้ + คุณภาพที่เข้าถึงได้ + ชีวิตแบบ Wellbeing ที่จับต้องได้” 

 ข้อมูลเพิ่มเติม :  http://www.CPLAND.co.th 

#CPLAND #AccessibleCommunitiesForLife #คุณภาพเพื่อทุกชีวิต #TerraBKK #TerraHint2025#



วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568

โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ชวนร่วม “ฉลองคริสต์มาส” และ "ร่วมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่" ที่ดิเอมเมอรัลด์ ค็อฟฟี่ช็อพ

โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ชวนร่วม “ฉลองคริสต์มาส” และ "ร่วมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่" ที่ดิเอมเมอรัลด์ ค็อฟฟี่ช็อพ

     เชิญร่วมฉลองคริสต์มาสอีฟ ค่ำวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ด้วย บุฟเฟต์นานาชาติที่มีซูชิพรีเมียมและซีฟู้ด  อาทิ หอยนางรม ปูม้า กุ้งเผา ไก่งวง พาร์มาแฮม ซุปทรัฟเฟิล ซูชิฟัวกราส์ วากิว คานิมิโซะ ฯลฯ รวมเครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา-กาแฟ พบลุงซานต้ามาแจกของขวัญและพร้อมให้ถ่ายรูปร่วมกัน ราคาผู้ใหญ่เพียงท่านละ 1,529 บาท เด็ก 650 บาท ระหว่างเวลา 18.00 – 22.00 น. ที่ดิเอมเมอรัลด์ ค็อฟฟี่ช็อพ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ 

โปรโมชั่นพิเศษ!! รับส่วนลด 30% เมื่อสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“ฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” ที่ดิเอมเมอรัลด์ ค็อฟฟี่ช็อพ


     ขอเชิญท่านมาร่วมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ค่ำคืนวันที่ 31 ธันวาคม "2568 ที่ดิเอมเมอรัลด์ ค็อฟฟี่ช็อพ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์  อิ่มอร่อยกับบุฟเฟต์นานาชาติที่รวมซูชิพรีเมียมและซีฟู้ด ที่ได้คัดสรรเมนูเพื่อมื้อค่ำสุดหรูของคุณ อาทิ ขาปูอลาสกา กั้งกระดาน หอยนางรม ฟัวกราส์ วากิว ขาแกะ เนื้อริปอายฯลฯ และ “ชมโชว์แล่ปลาทูน่าบลูฟินยักษ์” พร้อมเครื่องดื่มพิเศษให้เลือก 1 แก้วและน้ำอัดลมไม่อั้น เพลิดเพลินกับวงดนตรีเล่นสด เสริมบรรยากาศสนุกสุขสันต์ให้ทุกท่านได้ประทับใจ  แล้วลุ้นรับรางวัลมากมาย ผู้ใหญ่ท่านละ 2,569 บาท เด็ก 1,285 บาท ช่วงนับเวลาถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ รับปาร์ตี้เซทและเครื่องดื่มพิเศษท่านละ 1 แก้ว

โปรโมชั่นพิเศษ!! รับส่วนลด 30% เมื่อสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

***Early Bird จองและชำระก่อนภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2568 ผู้ใหญ่เหลือเพียงท่านละ 2,026 บาท เด็ก 1,013 บาทเท่านั้น

      สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2276-4567 หรือไลน์ @theemeraldhotel และwww.facebook.com/theemeraldcoffeeshop


วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ส.นวัตกรรมฯ ผนึก มรภ.ธนบุรี มุ่งพัฒนาคนรุ่นใหม่ยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ส.นวัตกรรมฯ ผนึก มรภ.ธนบุรี มุ่งพัฒนาคนรุ่นใหม่ยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

     รองศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ยิ้มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี พร้อมด้วย นายสกุล อริยโชติมา นายกสมาคมนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม ร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมและมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนากำลังคนรุ่นใหม่ให้พร้อมรองรับความเปลี่ยนแปลงของประเทศในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยมีผู้บริหาร คณาจารย์ และสื่อมวลชนให้ความสนใจเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568


  รองศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ยิ้มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับความพร้อมของมหาวิทยาลัยในการพัฒนากำลังคนและงานวิจัยให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ พร้อมย้ำว่ามหาวิทยาลัยมีความพร้อมด้านพื้นที่และบุคลากรในการต่อยอดการร่วมมือในเชิงลึกกับสมาคมฯ


     ด้าน นายสกุล อริยโชติมา นายกสมาคมนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคที่มาตรฐานด้านคาร์บอนและสิ่งแวดล้อมจะมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีในครั้งนี้ จะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านความรู้ นวัตกรรม และระบบสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืนภายใต้กฎระเบียบใหม่ของโลก

      ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญในการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยต่อการบังคับใช้มาตรฐานและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนระดับสากล เช่น CBAM, Carbon Tax และ ETS ตลอดจนการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม ห้องปฏิบัติการทดสอบมาตรฐาน (Testing & Certification) ศูนย์ฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (UAV) พื้นที่ Smart Campus รวมถึงหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมอนาคต อาทิ พลังงานสะอาด คาร์บอนฟุตพรินต์ ดิจิทัลนวัตกรรม และระบบความปลอดภัยมาตรฐานอุตสาหกรรม


     พิธีลงนามความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของการสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย และจะนำไปสู่การดำเนินโครงการร่วมกันในหลากหลายด้าน ทั้งงานวิจัยเชิงประยุกต์ การพัฒนามาตรฐาน ห้องปฏิบัติการ การทดสอบเทคโนโลยี UAV การสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ และการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าจะเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมทั้งต่อภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และสังคมโดยรวมในอนาคตอันใกล้




วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568

รัตนโกสินทร์จะสิ้นคนดีแล้วหรือ! บทความชวนให้คิด ในมุมมองของ...อัมรินทร์ คอมันตร์

รัตนโกสินทร์จะสิ้นคนดีแล้วหรือ! 

บทความชวนให้คิด 

ในมุมมองของ...อัมรินทร์ คอมันตร์ 
   "ไทยเผชิญวิกฤติภูมิอากาศ ปัจจัยวิกฤติเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ บั่นทอนประเทศ" ข้อความพาดหัวดังกล่าวข้างต้น ไม่รู้ว่าจะตําหนิใคร เลยโทษภูมิอากาศเป็นปัจจัยบั่นทอนประเทศ คิดได้แค่นี้หรือ? มิน่าถึงปล่อยพวกนักการเมืองบางคนกินบ้านกินเมือง เล่นละครการเมืองให้ดูบนความทุกข์ยากของประชาชน
     ต่อมาอีกวัน ก็มีข้อความพาดหัวว่า เสียหาย 5 แสนล้าน ชูพักหนี้ เติมเงินประชาชน รัฐบาลจัดเยียวยา “นํ้าท่วมใต้ ” สิ่งที่รัฐบาลทําคือ การเอาเงินภาษีของประชาชนไปกู้หนี้ยืมสินมาให้ประชาชน แบกภาระหนี้ต่อไปถึงลูกถึงหลาน แทนที่ที่จะปกป้อง ส่งเสริมการทํากินของเขา เตรียมพร้อมในภัยพิบัติ ไม่ให้ประชาชนต้องล้มละลาย เดือดร้อนอย่างที่เกิด จะยังคิดไม่ออกหรือไง?


     ความเป็นจริงแล้วยุคนี้เป็นเรื่องที่คนเราสามารถรับรู้ถึงสภาพวิกฤติของภูมิอากาศได้ล่วงหน้าเสมอ และผู้บริหารประเทศ นักการเมือง ข้าราชการต่างๆ ย่อมจะรับรู้ได้ หาทางป้องกันร่วมกันกับประชาชน ร่วมกันปกป้องไม่ให้ภัยพิบัติเกิดขึ้น สร้างความเสียหาย นํ้าท่วม ภัยแร้ง แก่ประชาชนได้น้อยที่สุด เช่น การไม่สร้างถนนปิดทางนํ้าหมด เพื่อประโยชน์ของนายทุนบางจําพวก มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า การบริหารจัดการอย่างมีการวางแบบแผนไว้ล่วงหน้า รวมทั้งการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องวิบัติทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ที่ควรได้รับการตําหนิมากที่สุดคือ พวกคณะรัฐบาลนักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น  ที่มุ่งแต่ประโยชน์ของตนเองและพรรคพวกเป็นส่วนใหญ่ และแสดงให้เห็นถึงประสิทธิ ภาพของการบริหารจัดการประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
     วิกฤติภูมิอากาศพอที่จะบรรเทาได้ แต่วิกฤติความชั่วช้าของนักการเมืองและผู้บริหารประเทศบางคนมันยากที่จะแก้ไข รวมทั้งข้าราชการบางคนที่ไร้ประสิทธิภาพ คนเลวๆเหล่านี้จะไม่ยอมรับผิดชอบ อย่างดีก็กล่าวขอโทษต่อประชาชน มันคือคําพูดลมๆ แล้งๆ พอให้ประชาชนได้ยิน แต่ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบปัญหา โดยรัฐบาลอัดเยียวยานํ้าท่วมภาคใต้ ฯลฯ เพื่อการหาเสียงเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
       การยุบสภาเร็วๆ นี้ และจัดการเลือกตั้งใหม่นั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความยากจนค่นแค้นของประชาขนเลย พวกนักการเมืองตระบัดสัตย์ก็จะกลับเข้ามาอีก การใช้เงินซื้อเสียงจะเกิดขึ้นอีก การเรียกร้องแม้กระทั่ง MOU ที่ตัองยกเลิกเพราะพวกที่ไปทําไว้มันหวังเอาประโยชน์ของชาติไปแลกกับผลประโยชน์ของพวกมันเอง
      ทุกวันนี้มันก็ยังมีพรรคพวกอยู่ในคณะรัฐบาล แล้วคนในรัฐบาลก่อนเป็นใหญ่ว่าจะเลิก แต่ก็ตระบัตสัตย์ มิหนําซํ้ายังมีนิติการบริการชั่วๆ ให้ประชาชนลงมติจะเลิกหรือไม่ มันโยนความรับผิดชอบไปให้ประชาชนอีก ทั้งๆ ที่ตอนทํา MOU มันใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ไม่ผ่านสภา ไม่ผ่านสถาบันตามรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ต้องเสียแผ่นดินผลประโยชน์ของชาติ ประชาธิปไตยบนพื้นฐานของการโกหก ตลบแตลง ตระบัตสัตย์ ขายชาติขายแผ่นดิน มีโทษตามกฎหมายอาญา ม. 191 จําคุกถึงประหารชีวิต คงดําเนินต่อไป รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเกือบทั้งหมด สร้างความวิบัติให้ประเทศชาติ ประชาชน มาโดยตลอด รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารแรกๆ ก็ดูจะดีลงท้ายก็แย่ ที่ดีๆ สร้างผลงานไว้มากมายแต่ไปมัวแต่จับจ้องจับผิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อใดที่นักการเมืองมีความซื่อสัตย์ไม่ซื้อเสียง ทํางานเพื่อประโยชน์ขอประชาชนและความมั่นคงด้วยความซื่อสัตย์ เมื่อนั้นประเทศไทยจึงพร้อมที่จะมีการเลือกตั้ง มีผู้กํากับการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพ ถ้ายังไม่พร้อมก็เรียกร้องให้ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ กล้าหาญ รักชาติรักประชาชนและสถาบันเถอะ อย่าเอาพวกกระล่อน ตระบัติสัตย์ เข้ามาบริหารประเทศอีกเลย ให้ไปเปิดร้านขายข้าวผัดและกาแฟดีกว่า
"รัตนโกสินทร์จะสิ้นคนดีแล้วหรือ!"....
บทความของ อัมรินทร์ คอมันตร์" เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568

***ขอขอบคุณ ภาพ...Nation online

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

สมาคมส่งเสริมการศึกษาในถิ่นกันดารในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นำคณะกรรมการไปสงเคราะห์เด็กนักเรียน เขตอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์

สมาคมส่งเสริมการศึกษาในถิ่นกันดารในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 

นำคณะกรรมการไปสงเคราะห์เด็กนักเรียน เขตอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์

     สมาคมส่งเสริมการศึกษาในถิ่นกันดารในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีนำโดยดร.มนวิภา ประชัญคดี ได้นำคณะกรรมการไปสงเคราะห์เด็กนักเรียน เขตอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีรศ.นพ.ปกิตติ ทยานิธิ, ดร.เกล้าสรวง สุพงษ์ธร, ทันตแพทย์ประสาธน์ชัย -ทันตแพทย์หญิงปิยะรัตน์ โพธิปฐม และสมาชิกท่านอื่นๆ มาร่วมสงเคราะห์ด้วย เมื่อเร็วๆ นี้

    โดยได้ลงพื้นที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โรงเรียนชนบท 3 แห่งได้แก่โรงเรียนบ้านวังยาวโรงเรียนบ้านห้วยระหงส์ และโรงเรียนบ้านปากดุกเพื่อมอบอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ชุดเสริมทักษะ และเสื้อกันหนาว การสนับสนุนครั้งนี้ครอบคลุมนักเรียนรวม 430 คน และครู 50 คน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา ลดความขาดแคลน และช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ให้มีอุปกรณ์พื้นฐานในการเรียนรู้ที่เหมาะสม

     นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมเสริมด้านทักษะความรู้ ประกวดเรียงความ  จัดแข่งขันกีฬา เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่นักเรียน  การดำเนินงานตลอด 2 วันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากผู้บริหารโรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ สะท้อนเจตนารมณ์ของโครงการในการยกระดับคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนให้ดียิ่งขึ้น

ผู้ว่าการ ททท. เยี่ยมชมงาน “Thailand Biennale Phuket”

ผู้ว่าการ ททท. เยี่ยมชมงาน “Thailand Biennale Phuket” 

ผลักดันการท่องเที่ยวตามรอยศิลปิน 

สู่ประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงศิลปะระดับนานาชาติ


     นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เยี่ยมชมงาน “Thailand Biennale Phuket” ผลักดันการท่องเที่ยวตามรอยศิลปิน สู่ประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงศิลปะระดับนานาชาติ พร้อมเชิญชวน นักท่องเที่ยว มาสัมผัส งานของศิลปินกว่า 60 คน ทั่วโลก ในพื้นที่จัดแสดง ณ จังหวัดภูเก็ต โดยงานจะมีถึง เมษายน 2569


     นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผู้ว่าการ ททท. เดินทางเข้าร่วมชมการจัดงาน Thailand Biennale จังหวัดภูเก็ต ณ สุโขสปา อำเภอเมืองภูเก็ต โดยคุณอัญชลี วานิชเทพบุตร นายกสมาคมศิลป์ภูเก็ต ให้การต้อนรับ  เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2568


     งาน Thailand Biennale จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมผลักดันภูเก็ตให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเข้ากับศิลปะร่วมสมัยในระดับสากล ในปีนี้นำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัยจากศิลปินไทยและนานาชาติหลากหลายแขนง ภายใต้แนวคิดที่สะท้อนอัตลักษณ์ วิถีชีวิต และมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดภูเก็ต ผ่านการจัดแสดงตามสถานที่สำคัญและชุมชนต่างๆ ทั่วเมือง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวเดินทาง “ตามรอยศิลปิน” และสัมผัสภูเก็ตในมุมมองใหม่


     การจัดงานในครั้งนี้สะท้อนบทบาทของศิลปะในการสร้างคุณค่าทางวัฒนธรรมและเสริมความหลากหลายของประสบการณ์ท่องเที่ยวไทย โดย ททท. มุ่งสนับสนุนกิจกรรมศิลปะเชิงพื้นที่ (Place-based Art) เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวคุณภาพ กระจายรายได้สู่ชุมชน และส่งเสริมความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยว


      ททท. เชื่อมั่นว่า Thailand Biennale Phuket จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะ “ศูนย์กลางศิลปะร่วมสมัยแห่งเอเชีย” และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขยายกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในศิลปะ วัฒนธรรม และประสบการณ์สร้างสรรค์จากทั่วโลก

#ThailandBiennalePhuket

#ThailandBiennale2025

#AmazingThailand

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ส่งต่อกำลังใจ ยกทัพสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ฯลฯ มอบให้แก่ผู้อพยพ จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ส่งต่อกำลังใจ ยกทัพสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ฯลฯ มอบให้แก่ผู้อพยพ จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา  ณ ศูนย์พักพิงชั่ว...