วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ส.นวัตกรรมฯ ผนึก มรภ.ธนบุรี มุ่งพัฒนาคนรุ่นใหม่ยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ส.นวัตกรรมฯ ผนึก มรภ.ธนบุรี มุ่งพัฒนาคนรุ่นใหม่ยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

     รองศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ยิ้มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี พร้อมด้วย นายสกุล อริยโชติมา นายกสมาคมนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม ร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมและมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนากำลังคนรุ่นใหม่ให้พร้อมรองรับความเปลี่ยนแปลงของประเทศในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยมีผู้บริหาร คณาจารย์ และสื่อมวลชนให้ความสนใจเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568


  รองศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ยิ้มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับความพร้อมของมหาวิทยาลัยในการพัฒนากำลังคนและงานวิจัยให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ พร้อมย้ำว่ามหาวิทยาลัยมีความพร้อมด้านพื้นที่และบุคลากรในการต่อยอดการร่วมมือในเชิงลึกกับสมาคมฯ


     ด้าน นายสกุล อริยโชติมา นายกสมาคมนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคที่มาตรฐานด้านคาร์บอนและสิ่งแวดล้อมจะมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีในครั้งนี้ จะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านความรู้ นวัตกรรม และระบบสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืนภายใต้กฎระเบียบใหม่ของโลก

      ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญในการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยต่อการบังคับใช้มาตรฐานและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนระดับสากล เช่น CBAM, Carbon Tax และ ETS ตลอดจนการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม ห้องปฏิบัติการทดสอบมาตรฐาน (Testing & Certification) ศูนย์ฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (UAV) พื้นที่ Smart Campus รวมถึงหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมอนาคต อาทิ พลังงานสะอาด คาร์บอนฟุตพรินต์ ดิจิทัลนวัตกรรม และระบบความปลอดภัยมาตรฐานอุตสาหกรรม


     พิธีลงนามความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของการสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย และจะนำไปสู่การดำเนินโครงการร่วมกันในหลากหลายด้าน ทั้งงานวิจัยเชิงประยุกต์ การพัฒนามาตรฐาน ห้องปฏิบัติการ การทดสอบเทคโนโลยี UAV การสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ และการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าจะเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมทั้งต่อภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และสังคมโดยรวมในอนาคตอันใกล้




วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568

รัตนโกสินทร์จะสิ้นคนดีแล้วหรือ! บทความชวนให้คิด ในมุมมองของ...อัมรินทร์ คอมันตร์

รัตนโกสินทร์จะสิ้นคนดีแล้วหรือ! 

บทความชวนให้คิด 

ในมุมมองของ...อัมรินทร์ คอมันตร์ 
   "ไทยเผชิญวิกฤติภูมิอากาศ ปัจจัยวิกฤติเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ บั่นทอนประเทศ" ข้อความพาดหัวดังกล่าวข้างต้น ไม่รู้ว่าจะตําหนิใคร เลยโทษภูมิอากาศเป็นปัจจัยบั่นทอนประเทศ คิดได้แค่นี้หรือ? มิน่าถึงปล่อยพวกนักการเมืองบางคนกินบ้านกินเมือง เล่นละครการเมืองให้ดูบนความทุกข์ยากของประชาชน
     ต่อมาอีกวัน ก็มีข้อความพาดหัวว่า เสียหาย 5 แสนล้าน ชูพักหนี้ เติมเงินประชาชน รัฐบาลจัดเยียวยา “นํ้าท่วมใต้ ” สิ่งที่รัฐบาลทําคือ การเอาเงินภาษีของประชาชนไปกู้หนี้ยืมสินมาให้ประชาชน แบกภาระหนี้ต่อไปถึงลูกถึงหลาน แทนที่ที่จะปกป้อง ส่งเสริมการทํากินของเขา เตรียมพร้อมในภัยพิบัติ ไม่ให้ประชาชนต้องล้มละลาย เดือดร้อนอย่างที่เกิด จะยังคิดไม่ออกหรือไง?


     ความเป็นจริงแล้วยุคนี้เป็นเรื่องที่คนเราสามารถรับรู้ถึงสภาพวิกฤติของภูมิอากาศได้ล่วงหน้าเสมอ และผู้บริหารประเทศ นักการเมือง ข้าราชการต่างๆ ย่อมจะรับรู้ได้ หาทางป้องกันร่วมกันกับประชาชน ร่วมกันปกป้องไม่ให้ภัยพิบัติเกิดขึ้น สร้างความเสียหาย นํ้าท่วม ภัยแร้ง แก่ประชาชนได้น้อยที่สุด เช่น การไม่สร้างถนนปิดทางนํ้าหมด เพื่อประโยชน์ของนายทุนบางจําพวก มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า การบริหารจัดการอย่างมีการวางแบบแผนไว้ล่วงหน้า รวมทั้งการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องวิบัติทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ที่ควรได้รับการตําหนิมากที่สุดคือ พวกคณะรัฐบาลนักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น  ที่มุ่งแต่ประโยชน์ของตนเองและพรรคพวกเป็นส่วนใหญ่ และแสดงให้เห็นถึงประสิทธิ ภาพของการบริหารจัดการประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
     วิกฤติภูมิอากาศพอที่จะบรรเทาได้ แต่วิกฤติความชั่วช้าของนักการเมืองและผู้บริหารประเทศบางคนมันยากที่จะแก้ไข รวมทั้งข้าราชการบางคนที่ไร้ประสิทธิภาพ คนเลวๆเหล่านี้จะไม่ยอมรับผิดชอบ อย่างดีก็กล่าวขอโทษต่อประชาชน มันคือคําพูดลมๆ แล้งๆ พอให้ประชาชนได้ยิน แต่ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบปัญหา โดยรัฐบาลอัดเยียวยานํ้าท่วมภาคใต้ ฯลฯ เพื่อการหาเสียงเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
       การยุบสภาเร็วๆ นี้ และจัดการเลือกตั้งใหม่นั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความยากจนค่นแค้นของประชาขนเลย พวกนักการเมืองตระบัดสัตย์ก็จะกลับเข้ามาอีก การใช้เงินซื้อเสียงจะเกิดขึ้นอีก การเรียกร้องแม้กระทั่ง MOU ที่ตัองยกเลิกเพราะพวกที่ไปทําไว้มันหวังเอาประโยชน์ของชาติไปแลกกับผลประโยชน์ของพวกมันเอง
      ทุกวันนี้มันก็ยังมีพรรคพวกอยู่ในคณะรัฐบาล แล้วคนในรัฐบาลก่อนเป็นใหญ่ว่าจะเลิก แต่ก็ตระบัตสัตย์ มิหนําซํ้ายังมีนิติการบริการชั่วๆ ให้ประชาชนลงมติจะเลิกหรือไม่ มันโยนความรับผิดชอบไปให้ประชาชนอีก ทั้งๆ ที่ตอนทํา MOU มันใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ไม่ผ่านสภา ไม่ผ่านสถาบันตามรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ต้องเสียแผ่นดินผลประโยชน์ของชาติ ประชาธิปไตยบนพื้นฐานของการโกหก ตลบแตลง ตระบัตสัตย์ ขายชาติขายแผ่นดิน มีโทษตามกฎหมายอาญา ม. 191 จําคุกถึงประหารชีวิต คงดําเนินต่อไป รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเกือบทั้งหมด สร้างความวิบัติให้ประเทศชาติ ประชาชน มาโดยตลอด รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารแรกๆ ก็ดูจะดีลงท้ายก็แย่ ที่ดีๆ สร้างผลงานไว้มากมายแต่ไปมัวแต่จับจ้องจับผิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อใดที่นักการเมืองมีความซื่อสัตย์ไม่ซื้อเสียง ทํางานเพื่อประโยชน์ขอประชาชนและความมั่นคงด้วยความซื่อสัตย์ เมื่อนั้นประเทศไทยจึงพร้อมที่จะมีการเลือกตั้ง มีผู้กํากับการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพ ถ้ายังไม่พร้อมก็เรียกร้องให้ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ กล้าหาญ รักชาติรักประชาชนและสถาบันเถอะ อย่าเอาพวกกระล่อน ตระบัติสัตย์ เข้ามาบริหารประเทศอีกเลย ให้ไปเปิดร้านขายข้าวผัดและกาแฟดีกว่า
"รัตนโกสินทร์จะสิ้นคนดีแล้วหรือ!"....
บทความของ อัมรินทร์ คอมันตร์" เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568

***ขอขอบคุณ ภาพ...Nation online

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

สมาคมส่งเสริมการศึกษาในถิ่นกันดารในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นำคณะกรรมการไปสงเคราะห์เด็กนักเรียน เขตอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์

สมาคมส่งเสริมการศึกษาในถิ่นกันดารในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 

นำคณะกรรมการไปสงเคราะห์เด็กนักเรียน เขตอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์

     สมาคมส่งเสริมการศึกษาในถิ่นกันดารในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีนำโดยดร.มนวิภา ประชัญคดี ได้นำคณะกรรมการไปสงเคราะห์เด็กนักเรียน เขตอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีรศ.นพ.ปกิตติ ทยานิธิ, ดร.เกล้าสรวง สุพงษ์ธร, ทันตแพทย์ประสาธน์ชัย -ทันตแพทย์หญิงปิยะรัตน์ โพธิปฐม และสมาชิกท่านอื่นๆ มาร่วมสงเคราะห์ด้วย เมื่อเร็วๆ นี้

    โดยได้ลงพื้นที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โรงเรียนชนบท 3 แห่งได้แก่โรงเรียนบ้านวังยาวโรงเรียนบ้านห้วยระหงส์ และโรงเรียนบ้านปากดุกเพื่อมอบอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ชุดเสริมทักษะ และเสื้อกันหนาว การสนับสนุนครั้งนี้ครอบคลุมนักเรียนรวม 430 คน และครู 50 คน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา ลดความขาดแคลน และช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ให้มีอุปกรณ์พื้นฐานในการเรียนรู้ที่เหมาะสม

     นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมเสริมด้านทักษะความรู้ ประกวดเรียงความ  จัดแข่งขันกีฬา เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่นักเรียน  การดำเนินงานตลอด 2 วันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากผู้บริหารโรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ สะท้อนเจตนารมณ์ของโครงการในการยกระดับคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนให้ดียิ่งขึ้น

ผู้ว่าการ ททท. เยี่ยมชมงาน “Thailand Biennale Phuket”

ผู้ว่าการ ททท. เยี่ยมชมงาน “Thailand Biennale Phuket” 

ผลักดันการท่องเที่ยวตามรอยศิลปิน 

สู่ประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงศิลปะระดับนานาชาติ


     นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เยี่ยมชมงาน “Thailand Biennale Phuket” ผลักดันการท่องเที่ยวตามรอยศิลปิน สู่ประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงศิลปะระดับนานาชาติ พร้อมเชิญชวน นักท่องเที่ยว มาสัมผัส งานของศิลปินกว่า 60 คน ทั่วโลก ในพื้นที่จัดแสดง ณ จังหวัดภูเก็ต โดยงานจะมีถึง เมษายน 2569


     นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผู้ว่าการ ททท. เดินทางเข้าร่วมชมการจัดงาน Thailand Biennale จังหวัดภูเก็ต ณ สุโขสปา อำเภอเมืองภูเก็ต โดยคุณอัญชลี วานิชเทพบุตร นายกสมาคมศิลป์ภูเก็ต ให้การต้อนรับ  เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2568


     งาน Thailand Biennale จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมผลักดันภูเก็ตให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเข้ากับศิลปะร่วมสมัยในระดับสากล ในปีนี้นำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัยจากศิลปินไทยและนานาชาติหลากหลายแขนง ภายใต้แนวคิดที่สะท้อนอัตลักษณ์ วิถีชีวิต และมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดภูเก็ต ผ่านการจัดแสดงตามสถานที่สำคัญและชุมชนต่างๆ ทั่วเมือง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวเดินทาง “ตามรอยศิลปิน” และสัมผัสภูเก็ตในมุมมองใหม่


     การจัดงานในครั้งนี้สะท้อนบทบาทของศิลปะในการสร้างคุณค่าทางวัฒนธรรมและเสริมความหลากหลายของประสบการณ์ท่องเที่ยวไทย โดย ททท. มุ่งสนับสนุนกิจกรรมศิลปะเชิงพื้นที่ (Place-based Art) เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวคุณภาพ กระจายรายได้สู่ชุมชน และส่งเสริมความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยว


      ททท. เชื่อมั่นว่า Thailand Biennale Phuket จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะ “ศูนย์กลางศิลปะร่วมสมัยแห่งเอเชีย” และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขยายกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในศิลปะ วัฒนธรรม และประสบการณ์สร้างสรรค์จากทั่วโลก

#ThailandBiennalePhuket

#ThailandBiennale2025

#AmazingThailand

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมทัพทีมบรรเทาฯ-สังคมสงเคราะห์ ล่องใต้เข้าพื้นที่น้ำท่วม เร่งส่งต่อธารน้ำใจ สู้มหาอุทกภัยภาคใต้”

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมทัพทีมบรรเทาฯ-สังคมสงเคราะห์ ล่องใต้เข้าพื้นที่น้ำท่วม 

เร่งส่งต่อธารน้ำใจ สู้มหาอุทกภัยภาคใต้” 

ยกทัพเครื่องอุปโภคบริโภคบรรทุกรถเทรเลอร์ และรถบรรทุกมูลนิธิฯ 

บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยจังหวัดสงขลา พัทลุง และจังหวัดอื่นๆ ต่อเนื่อง

   เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2568 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ พร้อมด้วย คณะกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ในหลายจังหวัด มอบหมายนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ เร่งกระจายทีมบรรเทาสาธารณภัย และทีมสังคมสงเคราะห์ ยกทัพเครื่องอุปโภคบริโภคที่ผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมบริจาค บรรทุกรถเทรลเลอร์ พร้อมรถบรรทุกมูลนิธิฯ ออกเดินทางจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชยมุ่งสู่ภาคใต้ต่อเนื่อง เพื่อมอบให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ในทันที โดยมี สมาคม/มูลนิธิแต่ละจังหวัด เป็นผู้ประสานงานและร่วมแจกจ่าย

     นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และแผนกบรรเทาสาธารณภัย  (คาราวานป่อเต็กตึ๊ง ส่งต่อธารน้ำใจ สาย 2) ยกทัพเครื่องอุปโภคบริโภคบรรทุกรถเทรลเลอร์ และรถบรรทุกมูลนิธิฯ ลงพื้นที่จังหวัดพัทลุง แจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ ตำบลลำปำ และตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง, ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน รวมจำนวน 1,000 ชุด ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ติดชายทะเล และยังคงประสบอุทกภัยในขณะนี้ โดยมี พัทลุงการกุศลมูลนิธิ (ซ่งเต็กเซี่ยงตึ๊ง) เป็นผู้ประสานงาน ร่วมแจกจ่าย รวมทั้งนำทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัย และจิตอาสาจากโรงเรียนเทศบาลจุ่งฮั่ว พัทลุง ร่วมแพ็กถุงยังชีพ

     สำหรับการแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคในพื้นที่จังหวัดสงขลา นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมสังคมสงเคราะห์ พร้อมทีมบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปฏิบัติการ  (คาราวานป่อเต็กตึ๊ง ส่งต่อธารน้ำใจ สาย 1) ได้ยกทัพเครื่องอุปโภคบริโภคบรรทุกรถเทรลเลอร์ 4 คัน ลงพื้นที่ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา โดยได้เร่งแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ อาทิ ตำบลหาดใหญ่ ตำบลบ้านไร่ ตำบลควนลัง ตำบลระโนด จังหวัดสงขลา แล้วกว่า 2,900 ชุด

     โดยขณะนี้ คาราวานป่อเต็กตึ๊ง ส่งต่อธารน้ำใจ ทั้ง 2 สาย ยังคงลุยแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินและเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านต่าง ๆ ต่อไป  อัปเดตข่าวสาร กิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ เฟซบุ๊ก แฟนเพจwww.facebook.com/atpohtecktung หรือดูรายละเอียดช่องทางที่สะดวกได้ที่ https://linktr.ee/pohtecktung

     นับตั้งแต่เกิดเหตุอุทกภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ส่งทีมกู้ภัย กู้ชีพ อาสาสมัคร พร้อมอุปกรณ์ตอบโต้ภัยพิบัติ โรงครัวเคลื่อนที่ ถุงยังชีพฉุกเฉินและเสื้อชูชีพ น้ำดื่ม ชุดยาสามัญประจำบ้าน อาหารสุนัขและแมว ลงพื้นที่หาดใหญ่หาดใหญ่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ทันที ทั้งการอพยพทั้งประชาชน และสัตว์ ออกพื้นที่ประสบภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัย รวมถึงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลต่างๆ และเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตนำส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ โดยมูลนิธิฯ ตั้งกองอำนวยการฯ ประสานงานรับแจ้งเหตุและช่วยเหลือ และจัดตั้งโรงครัวเคลื่อนที่ประกอบอาหารปรุงสุกบรรจุกล่องออกแจกจ่ายพร้อมน้ำดื่ม พร้อมนำถุงยังชีพฉุกเฉินบรรจุสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นและเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่

     มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สละแรงกาย แรงใจ  สมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ  ทั้งที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ และที่กองอำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป

     สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่มีความประสงค์จะบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ แผนกบริจาคสัมพันธ์  **  การช่วยเหลือมูลนิธิฯ จะไม่มีการเรียกค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตั้งอยู่ที่พลับพลาไชย ตรงเยาวราช ไม่มีสาขาที่ใด และไม่มีนโยบายส่งเจ้าหน้าที่ออกไปเดินเรี่ยไรตามบ้านหรือสถานที่อื่นๆ กรุณาอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง ยกเว้นจะมีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งไปรับบริจาคเท่านั้น **

.## มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##

เอกนิติ วางเป้าหมายปี 69 มุ่งขยายงานเพิ่ม

เอกนิติ วางเป้าหมายปี 69 มุ่งขยายงานเพิ่ม 

     บริษัท เอกนิติอินเตอร์ลอว์ จำกัด บริษัทกฎหมายอินเตอร์ชั้นนำ ได้มุ่งขยายงานด้านกฎหมายมากขึ้นมากกว่าปี 68 เพื่อรองรับฐานผู้ใช้บริการที่มากขึ้น

     นางสาวณัฏฐิณิชา ไกรรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกนิติอินเตอร์ลอว์ จำกัด เปิดเผยว่า “ สำหรับในปี 2568 เอกนิติ มีกลุ่มงานแบ่งออกเป็น กลุ่มคดีหลักหรือคดีทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคดีซื้อหนี้นาโนไฟแนนซ์จากบริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด(มหาชน) และยังมี การบังคับคดีจากบริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด(มหาชน) โดยเฉพาะกลุ่มคดีหลักหรือคดีทั่วไป ในปี 2568 เรามีผู้อุปการะคุณให้ความไว้วางใจกับเอกนิติ มอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินงานด้านอรรถคดีนับร้อยคดี ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกนิติอินเตอร์ลอว์ จำกัด ต้องขอกราบขอบพระคุณผู้มีอุปการะคุณทุกๆท่านที่ให้ความไว้วางใจกับเอกนิติด้วยดีเสมอมา เรายังคงมุ่งมั่นในการให้บริการงานด้านกฎหมายและอรรถคดีด้วยความซื่อสัตย์แห่งวิชาชีพนักกฎหมาย สำหรับปี 69 เอกนิติตั้งเป้าหมายในคดีหลักหรือคดีทั่วไปให้ได้มากกว่าในปี 68 นอกจากงานหนี้นาโนไฟแนนซ์ การบังคับคดี ยังวางเป้าหมายงานด้านบริหารสินทรัพย์ รวมถึงงานออดิตกลุ่มบริษัทมหาชน หรือ อดิต กลต.

     ด้านนางสาวณัฐกานต์ สิทธิโชติเดชาสกุล ผู้บริหารบริษัทเอกนิติอินเตอร์ลอว์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับสายงานด้านกลุ่มหนี้นาโนไฟแนนซ์ ในปี 2569 เอกนิติมีเป้าหมายที่จะประมูลหนี้ที่มีหลักประกันเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมในกลุ่มหนีั ส่วนการบังคับคดีนั้น เราก็มุ่งมั่นดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจะเพิ่มจำนวนความต้องการของคู่สัญญาให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มการสืบทรัพย์ให้ครอบคลุม การยื่นฟ้อง การยื่นบังคับคดี ให้รวดเร็วเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้มีอุปการะคุณทุกๆบริษสูงสุดกับผู้มีอุปการะคุณทุกๆบริษัทฯ ที่มาใช้บริการกับเอกนิติ

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568

CP LAND จาก ‘แบรนด์ผู้ท้าชิง’ ก้าวสู่ ‘แบรนด์เจ้าตลาด’ ติด Top 10 Brand Powerful Score

CP LAND จาก ‘แบรนด์ผู้ท้าชิง’ ก้าวสู่ ‘แบรนด์เจ้าตลาด’ 

ติด Top 10 Brand Powerful Score

     บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย สร้างก้าวสำคัญด้วยการไต่ระดับจาก “แบรนด์ผู้ท้าชิง” สู่กลุ่ม “แบรนด์เจ้าตลาด” (Market Leader Brand) ในงาน Terra Hint Brand Series 2025 พร้อมติด Top 10 Brand Powerful Score จากการสำรวจผู้บริโภคออนไลน์กว่า 2,000 คนทั่วประเทศ สะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในหลายด้าน ทั้งมาตรฐานโครงสร้าง การออกแบบเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะในโครงการ low-rise และการดูแลหลังการขายที่ผู้บริโภครับรู้ว่าจริงใจและรับผิดชอบ มากขึ้นอย่างเด่นชัดด้วยระยะเวลา รับประกันถึง 10 ปี

    คุณศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร กลุ่มงานการตลาดและสื่อสารองค์กร CP LAND กล่าวถึง กล่าวถึงสิ่งสำคัญที่ทำให้ CP LAND ขยับจากกลุ่มแบรนด์อสังหาฯ “แบรนด์ผู้ท้าชิง” เข้าสู่กลุ่ม “แบรนด์เจ้าตลาด” ด้วยกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสาร “จริงใจและรับผิดชอบ”  ที่ตรงใจผู้บริโภคอย่างชัดเจน โดยในปีที่ผ่านมา ทีมงานฯได้พยายามเน้นจุดเด่นของบ้านซีพีแลนด์ให้ตรงใจผู้บริโภคยุคใหม่ ด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่ ปลอดภัย-โปร่งใส, คุณภาพและงบที่เอื้อมถึง พร้อมคุณภาพและความยั่งยืน 

1. ปลอดภัยและโปร่งใส ในยุคที่คนกลัวโครงสร้างมากกว่าราคา

หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว งานวิจัยชี้ว่า “โครงสร้างและคุณภาพการก่อสร้าง” กลายเป็นปัจจัยอันดับ 1 ในการเลือกบ้าน และผู้บริโภคให้รางวัลกับแบรนด์ที่สื่อสารเร็ว ชัด และตรงไปตรงมาเรื่องมาตรฐานอาคาร  

CP LAND วางจุดยืนชัดในเรื่อง

• มาตรฐานโครงสร้างและวัสดุที่ตรวจสอบได้ การออกแบบเน้นความปลอดภัย

• การดูแลหลังการขายและการรับผิดชอบต่อผู้อยู่อาศัยอย่างใส่ใจ *ด้วยการรับประกัน 10 ปี

2. คุณภาพที่ “เอื้อมถึงได้” ตรงกับงบส่วนใหญ่ของคนไทย

งานวิจัยพบว่า 78% ของผู้ซื้อมองหาโครงการที่ “คุ้มค่า–ไว้ใจได้” มากกว่าความหรูฟุ่มเฟือยอย่างเดียว 

ทำให้ โครงการ CP LAND สร้างความแตกต่างได้ชัดเจน ประกอบด้วย

• โฟกัสโครงการที่อยู่อาศัยและมิกซ์ยูสในระดับราคาที่เข้าถึงได้

• ให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่าในระยะยาว” ทั้งค่าใช้จ่ายดูแลบ้านและคุณภาพชีวิต

• เดินตามวิสัยทัศน์ “Accessible Communities for Life – คุณภาพเพื่อทุกชีวิต” ไม่ได้เน้นเฉพาะตลาดบน

3. ด้านความคุณภาพเพื่อทุกชีวิตและความยั่งยืน Wellbeing & Sustainable Living ผู้ตอบแบบสอบถามนิยาม “Wellness” ว่า คุณภาพชีวิตที่ดี สภาพแวดล้อมดี ความปลอดภัย พื้นที่สีเขียว ความสมดุลของชีวิต และความสัมพันธ์ในครอบครัว/ชุมชน  

     คุณศศินันท์ กล่าวปิดท้ายว่า ทั้งหมดนี้ทำให้ ‘บ้านซีพีแลนด์’ กำลังกลายเป็นคำตอบหลักของผู้ซื้อบ้านยุคปัจจุบันในสายตาผู้บริโภคทั่วประเทศ ด้วยโครงสร้างที่เชื่อมั่นได้ + คุณภาพที่เข้าถึงได้ + ชีวิตแบบ Wellbeing ที่จับต้องได้ 

#CPLAND #AccessibleCommunitiesForLife #คุณภาพเพื่อทุกชีวิต #TerraBKK #TerraHint2025 



ส.นวัตกรรมฯ ผนึก มรภ.ธนบุรี มุ่งพัฒนาคนรุ่นใหม่ยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ส.นวัตกรรมฯ ผนึก มรภ.ธนบุรี มุ่งพัฒนาคนรุ่นใหม่ยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ       รองศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ยิ้มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุร...